วันศุกร์ที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2559

หนานข้อมือเหล็ก หรือ พญามือเหล็ก วีรชนแห่งดอยประตูผา

หนานข้อมือเหล็ก หรือ พญามือเหล็ก วีรชนแห่งดอยประตูผา
       
                                                                       
รูปปั้นพญามือเหล็กจังหวัดลำปาง

       
  .......เจ้าพ่อประตูผาหรือ”พระยามือเหล็ก”เป็นคนบ้านต้า(ปัจจุบันคือบ้านหวด อ.งาว จ.ลำปาง)เป็นเด็กกำพร้าบิดามารดา บวชเรียนป็นศิษย์ของเจ้าอธิการวัดนายาง อ.แม่ทะ จ.ลำปาง ได้ศึกษาวิชาอยู่ยงคงกระพัน สามารถใช้แขนแทนโล่ห์ได้ เมื่อลาสิกขาออกมา ชาวบ้านจึงเรียกว่า “หนานข้อมือเหล็ก”

                 พญามือเหล็กหรือเจ้าพ่อประตูผา  แห่งเขลางนคร เป็นยอดขุนพลของเจ้าลิ้นก่าน กษัตริย์เขลางนคร  มีผลงานเป็นที่ประจักษ์กล้าหาญและจารึกว่า เมื่อปี พ.ศ. ๒๒๕๑-๒๒๗๕ เป็นสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย รัชสมัยที่พระเจ้าท้ายสระต่อพระเจ้าอยู่หัวบรมโกษฐ์โน้น แคว้นลานนาไทยตกภายใต้อิทธิพลของพม่าเกือบทั้งสิ้น กล่าวคืน นครเชียงใหม่วัดล้มครืนลงอีกคราวนึ่งสมัยพระเจ้าเมกุฏิ (พ.ศ.๒๑๐๖) ได้เสียเอกราชให้แก่พระเจ้าบุเรงนอง ปีต่อมาได้คิดปฏิวัติต่อพม่าก็ถูกพม่าวัดล้มครืนลงอีกคราวหนึ่ง พม่าจึงจัดตั้งนางวิสุทธิเทวี เจ้าหญิงไทยขึ้นครองถึงปี พ.ศ. ๒๒๗๔ ก็ได้สิ้นพระชนม์ลง บุเรงนองได้ส่งนายทหารพม่าชื่อ มังนรธาช่อ (โอรส) มาปกครองเมืองเชียงใหม่สืบต่อมาถึง ปี พ.ศ. ๒๒๗๕ พม่าอ่อนกำลังลง เจ้าองค์นกหรือองค์ดำ ราชวงศ์เชียงใหม่-หลวงพระบาง ได้นำคนเข้ากอบกู้เอกราชคืนสำเร็จ จึงได้ขึ้นครองราชเป็นเจ้านามว่า พระหอดำ จนถึง พ.ศ. ๒๓๐๕ จึงสิ้นพระชนม์ พระเจ้าอังวะ พม่ายกทัพมาตีเมืองเชียงใหม่ได้สำเร็จ จึงส่งนายทหารปกครองเมืองเชียงใหม่แทน ชื่อ โปมะยุง่วน (โป่หัวขาว) ให้คนไทยชื่อพญาจ่าบ้าน เป็นพ่อเมือง เชียงรายก็ตกเป็นเมืองขึ้นพม่าข้าศึกด้วย เมืองแพร่ เมืองน่าน ยังเป็นอิสระเพราะมีเจ้าไทยปกครองกันเอง ส่วนนครลำพูนไชย มีเจ้าหรือท้าวมหายศ ปกครองอยู่ภายใต้อิทธิพลของพม่าสมัยนั้น เราเรียกว่า พม่าเชียงใหม่ และพม่าลำพูน สำหรับนครเขลางค์ถูกอิทธิพลของพม่าบ้านแตกสาแหรกขาดทั้งเจ้าข้าหลบหนีตายเข้าป่าไปจำนวนมา คือเจ้าลิ้นก่าน หนีไปอยู่ที่ประตูผา นครเขลางค์จึงเหมือนว่าเจ้าครองเมือง มีแสนหนังสือ แสนเทพ แสนบุญเรือน และจเรน้อย แต่ทั้ง ๔ ท่าน คอยชิงดีชิงเด่นกันปกครองราษฎรไม่ปกติสุขความเดือดร้อนเกิดขึ้นทุกหย่อมหญ้าเขลางค์ เร่าร้อนเป็นไฟทั่วใบหน้า

               ด้วยเหตุฉะนี้ พระอธิการเจ้าอาวาสวัดนายาง (เขตอำเภอแม่ทะ จ.ลำปาง) สมัยนั้น ราว พ.ศ.๒๓๓๒ ท่านเชี่ยวชาญวิทยาคมไสยศาสตร์ เวทมนต์คาถา มีชาวประชาเลื่อมในศรัทธาฝากเนื้อฝากตัวเป็นลูกศิษย์ลูกหามากมายได้ปรึกษาหารือกัน เมื่อเห็นว่าขืนปล่อยให้บ้านเมืองเดือดร้อนลุกเป็นไฟ อย่างสภาพเท่าที่เป็นอยู่นี้ นครลำปางคงเหลือแต่ชื่อแน่ ๆ จึงรวบรวมสมัครพรรคพวกพอสมควรแล้วจึงได้พากันชุมนุมปรึกษาหาทางกู้อิสรภาพบ้านเมืองต่อไปจะมักมาอาศัยขุนนางทั้ง ๔ เห็นทีจะล้มเหลวเป็นแน่แท้

           อย่างไรก็ดี ความนี้ทราบไปถึงท้าวมหายศพม่าลำพูน ซึ่งมีเขตติดต่อกับนครลำปาง จึงฉวยโอกาสยกทัพมาหมายจะปราบผู้มีบุญนครลำปาง เมื่อข้าศึกยกทัพพม่า ท่านอธิการฯ ได้คุมสมัครพรรคพวกออกสู้รบเป็นสามารถในที่สุดถึงขั้นตะลุมบอนกันที่บริเวณทุ่งป่าตัว (บ้านป่าตัน เขตตำบลปงแสนทอง อ.เมือง จ.ลำปาง ) อนิจจังน้ำน้อยย่อมแพ้ไฟ เพราะกำลังพม่าข้าศึกมากกว่าไทยหลายเท่ายิ่งสู้เหมือนแมลงเม่าบินเข้ากองไฟ ดังนั้น ท่านอธิการวัดนางยางจึงได้แตกพ่ายบริวารขวัญหนีดีฝ่อทิ้งดาบทิ้งปืนหลบหนีตายไปทางใต้ในที่สุดเข้าไปหลบอยู่ในเขตคูกำแพง (วัดพระธาตุลำปางหลวง ต.ลำปางหลวง อ.เกาะคา จ.ลำปาง) ทัพท้าวมหายศแห่งลำพูนได้ไล่ขยี้ตามไปติด ๆ ท่าน
 อธิการฯ กับเสนาขวา-ซ้ายปล่อยให้บริเวณหนีเข้าไปภายในกำแพงวัดก่อน ส่วนท่านกับเสนาออกต้านข้าศึกไว้ กองทัพลำพูนไล่ไปทัน จึงประจันบานกันระหว่างทาง ขณะนั้นท่านสมภารกับเสนาทั้งสองมีแต่ไม่กระทู้เสารั้วสวน ส่วนพม่าข้าศึกมีทั้งปืนทั้งดาบได้ต่อสู้กันอย่างประชิดตัวไม่กลัวตายใครดีก็อยู่ ใครไม่สู้ก็ตาย พวกพม่าลำพูนเกือบจะปราชัยอยู่แล้วทีเดียว บังเอิญท่าสมภารถูกระสุนที่หว่างคิ้ว แม้มันไม่ระคายผิวแต่ความแรงก็ทำให้ปวดบวมมองอะไรไม่เห็น ถูกพม่ารุมตีฟันแทงจบจนบอบช้ำไปหมดเซถลาลง ฝ่ายสมภารวัดบ้านฟ่อนได้รับบาดเจ็บที่หางตาซ้าย สมภารวัดสามขาบาดเจ็บที่หัวเข่าต่างหมดแรง แม้ร่างกายไม่มีรอยบาดแผลก็จริง ก็ล้มหมดแรงสิ้นลมปราณ ๓ คน สู้กับข้าศึกเป็นร้อย น้ำน้อยย่อมแพ้ไฟ จึงถึงแก่กรรมอย่างหาญกลางสมรภูมิในที่สุด

        เมื่อได้ชัยชนะแล้วท้าวมหายศพม่าลำพูนได้นำพลไปฉลองชัยในเขตกำแพงพระธาตุลำปางหลวงให้ทหารตระเวนเกณฑ์เก็บภาษีอากร และยึดข้าวปลาอาหารมาเลี้ยงกันอย่างอิ่มหมีพลีมัน บ้านเรือนใดมีใครมีสาวสวยเมียงามไม่พูดพล่ามทำเพลง หรือเกรงใจเลยจับมาใครขัดขืน ฟันแทงฆ่าตายอย่างผักปลา ได้สุรานารีมาแล้วก็ดื่มอย่างสนุกสนานภายในเขตวัดไม่ยำเกรงนรกหมกไหม้ ทั้ง ๆ ที่เป็นชาวพุทธเป็นที่เวทนาเป็นอย่างยิ่ง ชาวนครลำปางเดือดร้อนกันไปทั่วกลียุค เกิดเพราะน้ำมือของพม่าข้าศึกคราวนั้นน่าเวทนายิ่งนัก

        ท้าวมหายศจึงสั่งให้ทหารทั้ง ๓ ของตน มีหาญฟ้าแมบ, หาญฟ้างำและหาญฟ้าฟื้น ทำทีนำสารไปเจรจาความเมืองกับขุนนางทั้ง ๔ ของลำปางขณะนั้น ซึ่งมี แสนหนังสือ แสนเทพ แสนบุญเรือน และจเรน้อย ขณะเจรจากับพม่าพยายามเอาเปรียบทุกวิถีทาง ในที่สุดจเรน้อยไม่ยอม บอกว่าสมควรจะอัญเชิญท้าวลิ้นก่านเจ้าเมืองเขลางนค์ที่หนีไปอยู่ดอยประตูผามาเป็นประธานด้วย ฝ่ายพม่าเห็นว่าไม่ได้การจึงชักดาบออกไล่ฟันแทงขุนนางทั้ง ๔ ล้มตาย เกือบหมด เหลือเพียง จเรน้อยกับบริวาร ๒-๓ คน หนีตายไปสมทบกับท้าวลิ้นก่านและได้เชิญท้าวลิ้นก่านกลับไปครองนครเขลางค์อีก แต่ก็ไม่ยอมกลับ จเรน้อยจึงยอมอยู่กับท้าวลิ้นก่านที่ดอยประตูผา แต่ขณะนั้นยังมีทหารเอกที่จงรักภักดีคอยรับใช้อยู่ นั่นคือ พญามือเหล็ก ท่านผู้นี้เป็นชาวบ้านต้า (คือบ้านร่องต้า ต.บ้านหวด อ.งาว จ.ลำปาง) เป็นเด็กกำพร้า ญาตินำไปถวายท่านอธิการวัดนายางเคยเป็นเด็กวัดเรียนหนังสือรุ่นราวคราวเดียวกับ จเรน้อยและหนานทิพย์ช้าง มีวิชาอาคมอยู่ยงคงกระพัน ฟันแทงไม่เข้า สามารถใช้แขนโล่ได้ คนส่วนมากจึงเรียกว่า "หนานข้อมือเหล็ก" คอยรับใช้อารักขา ท้าวลิ้นก่านที่ดอยประตูผา

        กล่าวถึงจเรน้อยนำสมัครพรรคพวกลี้ภัยมาหาท้าวลิ้นก่านมาพบหนานข้อมือเหล็ก ซึ่งขณะนั้นมีบรรดาศักดิ์เป็น "พญามือเหล็ก" แล้วก็ดีใจซ่องสุมกำลังเตรียมการกู้ชาติให้จงได้  แต่บริวารที่มาด้วย เห็นฝีมือของจเรน้อยแล้วไม่ไหวขืนอยู่ด้วยเห็นจะถูกพม่าฟันตายอายุสั้น เปล่า ๆ จึงพากันหลบหนีไปอยู่เมืองต้า (บ้านร่องต้า ต.บ้านหวด อ.งาว) เมืองเมาะ (บ้านแม่เมาะ ต.บ้านดง อ.แม่เมาะ) เมืองตีบ (ต.แม่ตีบ (เวียงทิพย์) อ.งาว) เมืองลอง (อ.ลอง จ.แพร่) ด้วยเหตุนี้เองนครลำปางจึงทิ้งร้างว่างเปล่ากลัวพม่าลำพูน หาผู้คนมาอาศัยน้อยเต็มที ที่มีอยู่มากก็จะมีที่เมืองจาง (บ้านสบจาง เขต อ.แม่เมาะ จ.ลำปาง) เพราะพวกคนนี้เป็นคนมีฐานะ คิดถึงทรัพย์สมบัติเดิมอยู่ หากบ้านเมืองสงบสุขเมื่อใดก็จะกลับไปบ้านเดิมเมื่อนั้น นครลำปางได้ปล่อยร้างอยู่ไม่นาน ต้นปี พ.ศ. ๒๒๗๔ มีเจ้าอธิการวัดแก้มชมภู (เขต อ.เมือง จ.ลำปาง) ชำนาญโหราศาสตร์ จึงซ่องสุมผู้คนคิดกู้บ้านเมืองจากพม่าปรากฏว่ามีบริวารพอสมควร วันหนึ่งท่านจึงประกาศว่า "หาคนมาปราบพม่าบ่ได้ อาตมาจะสึกออกไปเป็นหัวหน้าปราบมันเอง บรรดาญาติโยมต่างห้ามปรามท่านไว้ เพราะขณะนั้นหาสงฆ์ติดวัดยากยิ่ง จึงตกลงให้ไปติดต่อท้าวลิ้นก่านที่ประตูผา ท้าวลิ้นก่านตอบว่ายังไม่พร้อม ใครจะคิดการณ์อย่างไรก็ทำไปก่อนเถิด ความจริง ท้าวลิ้นก่านกำลังคิดอยู่แล้วทีเดียว

                  ม้าเร็วจึงส่งข่าวให้สมภารทราบ และบอกว่า "อันครูบาเจ้าก็ชำนาญโหราเลขผานาที หยังมาคิดคำง่ายมีแต่จะสึก ๆ เข้าเจ้าคิดว่าลำปางยังบ่เสี้ยงคนดีเตื่อเจ้า" ท่านสมภารคิดได้จึงจับยามสามตาลงเลขผานาทีเห็นว่า "อันหลานกูผู้สามารถยังมีสูฮีบไปตวยมันมาหากูจิ่มเต๊อะ" ในที่สุดคนจึงไปตามหานานทิพย์ช้างพเจนร ซึ่งเคยบวชเรียนอยู่กับอธิการวัดนายางแล้วไปอยู่ปงยางคก (เขต อ.ห้างฉัตร) ไปได้ภรรยาบ้านเอื้อม (เขต อ.เมืองลำปาง) มีวิชาอาคมขลัง สามารถใช้ปืนผาหน้าไม้ ไล่จับช้างดึงหายมันให้หลุดได้ในขณะนั้นมีอาชีพเป็นพรานป่าล่าสัตว์ ร่างกายกำยำล่ำสันสูงใหญ่ ชาวบ้านต่างขนานนามหนานนี้ว่า "หนานทิพย์ช้าง" พอตามท่านสมภารผู้เป็นลุงจึงถามว่า "บ่าหนาน คิงจะสู้ กู้เมืองคืนจากพม่าได้ก่อ" หนานจึงพนมมือวันทาแล้วตอบว่า "อันพม่าลำพูนก็เตียวดิน กิ๋นข้าวอย่างหมู่เฮา ข้าตึงบ่อกลัวสักน้อยเจ้า" ท่านสมภารได้ยินดังนั้นจึงมอบบริวารให้ประมาณ ๓๐๐ คน ให้หนานทิพย์ช้างเตรียมตัวไว้ ถ้าได้โอกาสดีจะได้ตีเอาเมืองคืนจากพม่าต่อไป           ย้อนเรื่องราวกล่าวถึงท้าวมหายศ แม่ทัพพม่าลำพูน เมื่อฆ่าขุนนางทั้ง ๓ ได้แล้วก็ยังไม่สบายใจเพราะหนีไปอีกคนหนึ่ง คือจเรน้อย ดันหนีไปหาท้าวลิ้นก่านอดีตเจ้าเมืองคนเก่าซึ่งขณะนั้นลี้ภัยไปอยู่ดอยประตูผาโน่น ขืนปล่อยไว้ก็จะเป็นหนามยอกอก ปกครองนครลำปางไม่ราบลื่นแน่นอน จึงสั่งการให้ ๓ ทหารเสือของตนไปทำการปราบปรามต่อไป (หาญฟ้าแมบ, หาญฟ้าง้ำ และหาญฟ้าฟื้น)

        ณ ดอยประตูผาที่ลี้ภัยของท้าวลิ้นก่านกับพวกนั้นเป็นเชิงเขาเวิ้งชะโงก เดิมมีช่องย่องผ่านเข้าไปที่แคบ ๆ ทะลุไปสู้เมืองต้า เมืองลอง เมืองแพร่ ก่อนนั้นทางนี้เป็นทางลัดตรงที่สุด ใช้เป็นที่แอบซ่อมสุมกำลังได้ดีที่สุด ทหารเอกของท้าวลิ้นก่าน ขณะนั้น พญามือเหล็ก และ จเรน้อย ที่มาสมทบใหม่พร้อมบริวารเพียงเล็กน้อยกำลังคิดหาทางกู้อิสรภาพคืนจากพม่าลำพูนอยู่ทุกลมหายใจ แต่ขณะนั้นยังขาดกำลังอย่างเดียวเท่านั้น และนึกไม่ฝันว่าพม่าจะส่งกำลังมารังควาญ จึงไม่ได้เตรียมตัวแต่อย่างใดเลย

        ถึงคราวจะสิ้นชื่อ ให้ชาวดลระบือเกียรติคุณสืบไปตราบชั่วหลานเหลนโพ้น สามทหารเอกของท้าวมหายศ อันมีหาญฟ้าแมบ หาญฟ้าง้ำ หาญฟ้าฟื้น ได้กรีฑาทัพ ไปยังประตูผาทันที ขณะนั้นเป็นเวลาใกล้รุ่งสุริยากำลังจะมาเยือนขอบโลกเบื้องบูรพาทิศ จเรน้อย เห็นข้าศึกก่อนจึงออกต่อกรไม่ยอมช้าได้ต่อสู้พม่าเป็นสามารถแต่ขาดอาวุธ ในที่สุดพม่าบุกทะลวงไล่จเรน้อยไปยังหน้าผาตูบ พม่าได้ใจรุกไล่ไม่ลดละ พญามือเหล็ก เห็นว่าหากปล่อยพม่าเข้ามาท้าวลิ้นก่านราชาก็สิ้นนามกันคราวนี้ จึงฉวยดาบคู่ชีพรีบกระโดยสกัดกั้นทหารพม่าที่กรูเข้ามาถูกพญามือเหล็ก มีพลังใจเสกเป่าคาถาอาคมที่ครูบาให้มาเท่าใดนำออกมาใช้จนหมดพุม คราวน้ำฉวยดาบทั้งสองมือยืนจังก้าหน้าประตูผาทหารพม่าข้าศึกนึกว่าไทยคนเดียวหรือจะสู้กู พม่าเป็นสองสามร้อยคนได้ จึงเรียงแถวตรงเข้าไปพญามือเหล็กขยับดาบมือซ้ายเบา ๆ เอาพม่าเป็นศพเช่นคมดาบได้ถึง ๕ คน ป่ายดาบมือขวาได้พม่าเซ่นดาบอีก ๑๐ คน หยุดการเดินเดี่ยวของพม่าได้ชะงักนัก

               ภาพวาดพญามือเหล็กรบกับศัตรู


        ฝ่ายหาญฟ้าง้ำเห็นพวกเสียที ไม่รีรอถลกโสร่งเข้าไปหมายแก้มือให้เพื่อ ฟันซ้ายป่ายขวาไม่นับ พญามือเหล็กแทบรับไม่ทัน ในที่สุดดาบหักไปอันหนึ่ง จึงใช้ศอกซ้ายรับอาวุธแทนโล่  มือขวาถือดาบคอยจ้องฟันแม้คมดาบ จะไม่ระคายเคืองผิวหนังเลย แต่ศอกซ้ายก็บวมเป่งงอมช้ำเอาดื้อ ๆ โตขึ้นถึง ๓ เท่าตัว เหนื่อย ก็เหนื่อยข้าวไม่ได้ตกท้องเลยตั้งแต่เช้า เจ็บมือซ้ายย้ายมาใช้มือขวารับคมดาบศัตรูแทนโดยไม่ยอมถอยหลังแม้แต่ก้าวเดียว จนมือขวาก็บวมเลือดไหลซิบ ๆ เท่ายางบอน อดทนต่อกรกับพม่าหมาหมู่ อยู่ต่อไปไม่ปริปากหาญฟ้าง้ำนั้นคิ้วบากหน้าเบี้ยวเห็นทีจะสู้คนเดียวต่อไปไม่ไหวแน่แหกปากร้องให้นายฟ้าแมบผู้เฒ่าเข้าไปช่วยสองต่อหนึ่ง สู้กันถึงใจเลือดไหลเข้มข้นเสมอ

        พญามือเหล็ก รู้สึกหิวโหยโรงแรงแต่แข็งใจสู้บริวารที่อยู่เบื้องหลังเสียงดาบปะทะกันไม่ไหวหนีตายอนาถกันหมดสิ้น ทั้งสองทหารพม่าประดาหน้าเข้าใส่หลับตาฟัน หลับตาแทนไม่เลือกที่ ทั้งกายของพญามือเหล็ก ระบมบอบช้ำบวมเป่งไปทั่วสารพางค์ สู้กันตั้งแต่เที่ยงวันยันบ่ายสามโมงยังไม่มีทีท่าว่าใครจะแพ้ใครจะชนะ พม่า ๒ คนชักระอาใจจะหนีไปก็เสียเหลี่ยม ฝืนใจสู้ต่อไปอย่างนั่นเองจังหวะขณะที่หาญฟ้าง้ำโสร่งลุ่ยก้มหน้าย่อตัวนุ่งโสร่ง พอโย่งโย้ขึ้นมาอนิจจา พญามือเหล็ก รวมพลังครั้งสุดท้ายมือขวายกไม่ไหว มือซ้ายถือดาบฟันฉับลงที่แสกหน้าผ่าแล่งเป็นสองส่วนพอดิบพอดี ไม่มีเวลาร้องสั่งเพื่อนแม้แต่อ้าปาก

        ฝ่ายทหารฟ้าแมบผู้เฒ่าไม่เอาไหน เห็นเพื่อนตายไปต่อหน้า ถ้าขืนชักช้าอยู่สู้มันไม่ได้ พอดีพญามือเหล็กใกล้ขาดใจจึงเบนกายเข้าไปพิงหน้าผายืนสง่าสิ้นลมปราณ อย่างชายชาติทหารเอก มือยังถือดาบอยู่ หาญฟ้าแมบไม่รู้นึกว่า พญามือเหล็ก แบเอาท่าทีจำงุมมือกำดาบไม่ว่าเลย...อนิจจาเพื่อนตายไปทั้งสองกูจะเอาชีวิตมาทิ้งเหรอ ยังอาลัยเมียเก่าลูกรักที่เมือง ตนจึงหันหลังวิ่งแล่นไม่เหลียวกลับ ทัพพม่าจึงยึดดอยประตูผาไม่สำเร็จด้วยประการฉะนี้แล


        กล่าวถึงท้าวลิ้นก่านกับจเรน้อย เมื่อเห็นว่าเงียบเสียงดาบเสียงคนแล้ว จึงพากันออกมา อนิจจา...ฟ้าดิน "พญามือเหล็ก" ผู้กล้าหาญยืนมือถือดาบท่าทางสง่าปานราชสีห์ สิ้นใจตายจากไปเสียแล้ว จึงสั่งทหารหาญ นำร่างไร้วิญญาณไปวางไว้ที่ผาลาดปลงศพวีรชนตามมีตามเกิดแล้วสร้างศาลเพียงตา อัญเชิญดวงวิญญาณ พญามือเหล็กมาสิงสถิตให้เป็นที่สักการบูชาของเหล่าปวงชนรุ่นหลังต่อไป แทนที่ศาลนี้จะเรียกว่า "ศาลพญามือเหล็ก" ปัจจุบันกลับเรียกกันว่า "ศาลเจ้าพ่อประตูผา" ตามชื่อดอยประตูผาสืบต่อมาคราบเท่าทุกวันนี้

                               

ศาลเจ้าพ่อประตูผา(พญามือเหล็ก)อยู่ห่างจากตัวจังหวัดลำปางตามเส้นทางลำปาง – งาว กิโลเมตรที่ ๔๘ ศาลเจ้าพ่อประตูผาเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ผู้สัญจรไปมาผ่านเส้น ทางนี้มักแวะสักการะและจุดประทัดถวาย เจ้าพ่อประตูผา เดิมชื่อพญาข้อมือเหล็กเป็นผู้อยู่คงกระพัน ชาตรี เป็นทหารเอกของเจ้าผู้ครองนครลำปาง (เจ้าลิ้นก่าน) ครั้งหนึ่งได้ทำการต่อสู้กับพม่าที่ช่องประตูผา จนกระทั้งถูกรุมแทงตายในลักษณะมือถือดาบคู่ยืนพิงเชิงเขา ทหารพม่ากลัวไม่กล้าบุกเข้าไปตีนครลำปาง ด้วยเหตุนี้ชาวบ้านจึงเกิดศรัทธา และได้ตั้งศาลขึ้นบูชาเป็นที่นับถือของชาวลำปางและพื้นที่จังหวัดใกล้เคียง ช่วงประมาณวันที่ ๒๐ – ๒๕ เมษายน ของทุก ๆ ปี ประชาชนและหน่วยงานของรัฐได้ร่วมกันจัดงานประเพณีบวงสรวงสักการะรดน้ำดำหัวเจ้าพ่อประตูผา มีการจัดขบวนแห่เครื่องบวงสรวงและสักการะอย่างยิ่งใหญ่ตระการตา

วันพุธที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2559

หลวงพ่อฤาษีฯเป็นใคร มีความสำคัญแค่ไหนเพียงไร?

หลวงพ่อฤาษีฯเป็นใคร มีความสำคัญแค่ไหนเพียงไร?


พระอริยสงฆ์หลายองค์กล่าวถึงหลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง
หลวงปู่ดาบส สุมโณ พูดถึงหลวงพ่อฤๅษีฯ ว่า
"พระคุณเจ้าองค์นั้นเป็นอรหันต์องค์เอกองค์หนึ่งของโลก
ในปลายศาสนา ๕๐๐๐ ปี จะหาใครสอนเสมอเหมือนพระคุณท่านหาไม่ได้แล้ว พระคุณท่านองค์นั้นสอนได้คล้ายพระพุทธเจ้าสอน เพราะท่านปรารถนาพระโพธิญาณ ถ้าท่านไม่ลาพุทธภูมิหักใจเป็นพระอรหันตสาวกเสียก่อน ท่านเทศน์คราวไร เรา..พวกเรานี้ที่บำเพ็ญบารมีตามท่านมา ก็จะฟังเทศน์จากท่านเพียงครั้งเดียวก็จะเป็นพระอรหันต์ตามได้
จำไว้นะ ! กลับไปฟังคำสอนของพระคุณท่าน ฟังเทปของท่าน
ดูวีดีโอของท่าน ให้ส่งจิตคิดตามเสียงท่านประหนึ่งว่าเป็นเสียง
ในใจเรา ก็อาจจะบรรลุมรรคผลได้ตามที่ตัดสินใจ ตามเสียงนั้นเฉพาะหน้า เหมือนฟังจากพระพุทธเจ้านั่นแหละ องค์นี้หาใครสอนได้เสมือนท่านยากนักหนาแล้ว"
ท่านเจ้าคุณหลวงพ่อ สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์
(ฟื้น ชุตินธโรมหาเถระ) วัดสามพระยา ปรารภกับหลวงพี่ ท่านพระครูปลัดอนันต์ พัทธญาโณ เจ้าอาวาส วัดท่าซุงว่า
" คำสอนของท่านเจ้าคุณพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษี)
ใช้เป็นตำราได้ทั้งหมดนะ "
พระเดชพระคุณหลวงพ่อ ท่านเจ้าคุณพระญาณสิทธาจารย์ (หลวงปู่สิม พุทธาจาโร มหาเถระ)
บอกว่า "หลวงพ่อมหาวีระ(หลวงพ่อฤาษี) ท่านเป็นโลกวิทู
แจ้งทั้งโลก แจ้งทั้งธรรม"
หลวงปู่บุดดา ถาวโร ยังปรารภถึงหลวงพ่อว่า
" หลวงปู่น่ะเหมือนหิ่งห้อย หลวงพ่อมหาวีระ(หลวงพ่อฤาษี)
นั้นเหมือนพระอาทิตย์"
ครูบาคำแสนเล็ก ท่านบอกว่า “หลวงปู่ บวชมา 60 กว่าพรรษา
เข้านี่แล้วยังไม่เคยพบพระองค์ไหนเหมือนหลวงพ่อ(หลวงพ่อฤาษี) ”
หนังสือลูกศิษย์บันทึก เล่ม ๒
ในปีพ.ศ. ๒๕๑๕ หลวงปู่ชุ่ม โพธิโก หลวงปู่คำแสน
คุณาลังกาโร กำลังสนทนาธรรมกันที่วัดป่าดอนมูล
อำเภอสันกำแพง จังหวัดเชียงใหม่ ผู้เขียนกำลังรับฟังธรรม
จากพระเดชพระคุณท่านฯ ทั้งสองอยู่ หลวงปู่ชุ่มก็หันหน้ามา
บอกผู้เขียนว่า
“ท่านบุญรัตน์ ให้ไปกราบหลวงพ่อใหญ่ วัดท่าซุงหน่อย
ท่านเป็นพระทอง หาที่ไหนไม่ได้อีกแล้ว ท่านเปี่ยมด้วย
เมตตาบารมี ใครได้กราบไหว้ก็เป็นบุญกุศลใหญ่นัก”
หลวงปู่คำแสนซึ่งนั่งอยู่ใกล้ๆ ก็กล่าวเสริมขึ้นว่า
“เออ ดีมาก หลวงพ่อวัดท่าซุงเป็นผู้ประกอบไปด้วยเมตตาธรรมอันสูงส่ง เหมือนกับครูบาศรีวิชัย หาที่ไหนไม่ได้แล้ว”
ผู้เขียนได้รับฟังหลวงปู่ทั้งสององค์บอกกล่าว ดังนั้น
ก็ก้มกราบเท้าทั้งสองหลวงปู่ด้วยความอิ่มอกอิ่มใจ
จนน้ำตาไหล
หลวงปู่ชุ่มบอกว่า
“พระเดชพระคุณหลวงพ่อวีระ วัดท่าซุงนี่ท่านเปี่ยมไปด้วยคุณธรรมอันสูงมาก บารมีสูง ชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายของท่าน
ท่านจะไม่มาอีกแล้ว จะเข้าสู่พระนิพพาน เพราะฉะนั้นท่าน
จึงสั่งสอนให้ลูกหลานและศิษย์ท่านปฏิบัติให้เข้าถึง
พระนิพพานกันหมด”
หลวงปู่ชุ่มบอกกับผู้เขียนว่า
“ขอให้ท่านจงได้ปฏิบัติติดตามคำสอนของพระเดชพระคุณ
หลวงพ่อเถอะ จะได้ถึงพระนิพพานในชาติปัจจุบันนี้”
ผู้เขียนก็น้อมรับว่า “สาธุ” ตั้งแต่นั้นมาผู้เขียนก็ได้มีโอกาส
ได้ไปกราบเท้าพระเดชพระคุณเจ้าประคุณหลวงพ่อฯ
อีกหลายครั้ง
--------------------------------------------------------------------------------
Nooboonsawan Siriharksopon shared BuddhaSattha's photo.
ซาบซึ้งในพระคุณของหลวงพ่อ

นะโมพุทธายะ พระศุภณัฏฐ์ shared BuddhaSattha's photo.

ใครมีอะไรดีๆที่เกี่ยวข้องกับหลวงพ่อฤาษีฯของพวกเราลูกหลาน ขอได้โปรดนำมาลงเพิ่มเติมเป็นธรรมทานด้วยครับ
หลวงพ่อฤาษีลิงดำ
ตามรอย หลวงพ่อพระราชพรหมยาน "วิสุทธิเทพแห่งวัดท่าซุง"
หลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษีลิงดํา) วัดท่าซุง
ธรรมโอวาท
"พระพุทธเจ้าบอกอย่าสนใจกายภายใน ในร่างกายเราเอง อย่าสนใจในร่างกายของคนอื่น อย่าสนใจวัตถุธาตุใดๆ เพราะสิ่งทั้งหลายเหล่านี้มีสภาพไม่เที่ยงและเป็นอนัตตาในที่สุด"
ปัจฉิมโอวาท

"ลูกเอ้ย... นี่เป็นธรรมดาของร่างกาย
มีเกิด มีแก่ มีเจ็บ มีตาย เป็นธรรมดา
สังขารมันเป็น อนิจจัง ไม่เที่ยงหรอก
ทุกขัง ตอนอยู่ มันเป็นทุกข์
แต่ผลที่สุด มันก็ อนัตตา สลายไป มีแค่นี้
อย่ามายึดติดสังขารพ่อเลย"
ขอแจ้งให้ทราบว่าทุกคนที่ต้องการเป็นศิษย์ ไม่ต้องขออนุญาต ขอให้ปฏิบัติตามนี้ อยู่ที่ไหนไม่เคยเห็นหน้ากันเลยก็รับเป็นศิษย์ คือ

๑.ศิษย์ชั้น ๓ พยายามรักษาศีล ๕ ได้เสมอ อาจจะขาดตกบกพร่องบ้าง แต่ก็พยายามรักษาให้ครบถ้วนมากที่สุดที่จะทำได้ อย่างนี้ขอรับไว้เป็นศิษย์ชั้น ๓ คือศิษย์ขนาดจิ๋ว
๒.ศิษย์รุ่นกลาง มีปฏิปทาดังนี้ มีศีลบริสุทธิ์เป็นปกติ พยายามรักษาอารมณ์ให้ทรงสมาธิเสมอตามสมควร ไม่ละเมิดศีลเป็นปกติ อย่างนี้ขอรับไว้เป็นศิษย์รุ่นกลาง
๓.ศิษย์เอก มีปฏิปทาดังนี้
(ก)รักษาศีล ๕ ครบถ้วนเป็นปกติ
(ข)เคารพพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ ไม่สงสัยในความดีของท่าน มีอารมณ์ตั้งมั่นว่า ถ้าตายไปจากคนชาตินี้ ขอไปนิพพานจุดเดียว พยายามละความโลภ ความโกรธ ความหลงเป็นปกติ
ถ้าปฏิบัติได้ตามที่กล่าวมานี้ มาพบหรือไม่มา ขออนุญาตเป็นศิษย์ หรือไม่ขออนุญาตก็ตาม ให้ทราบว่าอาตมารับเป็นศิษย์แล้วด้วยความเต็มใจ
พระราชพรหมญาณ (วีระ ถาวโร)
ประวัติพระราชพรหมญาณ

พระราชพรหมญาณ (วีระ ถาวโร) หรือ หลวงพ่อฤาษีลิงดำ
วัดท่าซุง จังหวัดอุทัยธานี
ท่านเป็นพระอริยสงฆ์ ผู้เป็นที่เคารพนับถือของศานุศิษย์ผู้ปฏิบัติธรรม ในแนวทางแห่งมโนมยิทธิ ท่านเป็นลูกศิษย์ของหลวงพ่อปาน โสนนฺโท วัดบางนมโค
ตลอดชีวิตของท่าน ท่านได้บำเพ็ญกิจแห่งพระสงฆ์ได้สมบูรณ์พร้อมทุกประการ
นับได้ว่าพระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยานเป็นปูชนียบุคคลผู้อยูู่่ด้วยความกรุณา เป็นปกติ พร่ำสอนธรรมะและสิ่งทีเป็นประโยชน์และสงเคราะห์
เกื้อกูลมหาชนด้วยเมตตามหาศาลสมกับ เป็น ศากยบุตรพุทธชิโนรส แท้องค์หนึ่ง
พระธาตุชานหมากหลวงพ่อฤาษีลิงดำ

พระธาตุชานหมากหลวงพ่อฤาษีลิงดำ
เมื่อเอ่ยถึงหลวงพ่อพระราชพรหมยาน อาจจะไม่มีใครทราบแต่เมื่อเอ่ยนาม "หลวงพ่อฤาษีลิงดํา" ผมเชื่อว่าท่านผู้อ่านนับเรือนแสนหรือนับล้านต้องรู้จักแน่ หลวงพ่อท่านเป็นพระพิเศษกล่าวคือ มีความสามารถคลุมหมด คลุมสุกขวิปัสสโกด้วยเอาไว้ในตัว เอาวิชชาสามเข้าไว้ด้วย แล้วเอาอภิญญาหกเข้าไว้ด้วย แล้วก็ฉลาดมาก คือว่า ฉลาดในธรรมะขององค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าทุกอย่าง หรือที่เรียกว่า "ปฏิสัมภิทาญาณ" นอกจากนั้นหลวงพ่อยังเป็นพระผู้ทรงอภิญญาใหญ่ และที่เป็นที่กล่าวขวัญในลูกศิษย์คือ "อารมณ์จิตหลวงพ่อเร็วมาก" สามารถแปรอรรถธรรมจากยากเป็นง่ายได้อย่างพิสดาร ซึ่งแม้แต่พระอริยะเจ้าผู้มีพรรษาอาวสุโสที่สุดในสายกรรมฐานหลวงปู่มั่น คือ "พระผู้อยู่ในดวงใจนับศัตวรรรษ" หลวงปู่บุดดา ถาวโร ได้เคยกล่าวว่า ให้ลูกศิษย์ไปหาอาจารย์ใหญ่ที่วัดท่าซุง หลวงพ่อท่านยังได้รับคํายกย่องจากหลวงปู่คําแสนว่า "ในกึ่งพุทธกาลไม่มีใครเกินหลวงพ่อ" นั้นย่อมเป็นเหตุเป็นผลว่า "พระระดับนึ้หาไม่ได้อีกแล้ว "

ในนามคณะศิษย์ขออนุโมทนาทุกท่านที่มีส่วนร่วมในการตามรอยและผู้อ่านทุกท่านจงมีแต่ความสุขความเจริญ ขอให้คําว่า ไม่มีจงอย่าปรากฏตราบเท่าเข้าสู่พระนิพพาน
คณะศิษยานุศิษย์
2 กุมภาพันธ์ 2552

ชีวประวัติ ของ หลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษีลิงดํา) แห่งวัดท่าซุง
หลวงพ่อพระราชพรหมยาน เป็นลูกศิษย์หลวงพ่อปาน วัดบางนมโค ได้ปฏิบัติข้อวัตรปฏิบัติจากหลวงพ่อปาน นอกจากนั้นหลวงพ่อท่านยังเชี่ยวชาญในด้านพระกรรมฐานทั้ง 40 กองในวิสุทธิมรรคและมหาสติปัฏฐาน 4 ท่านยังได้นํามาถ่ายทอดให้ศิษยานุศิษย์ได้ศึกษาเพื่อเป็นแนวทางในการปฏิบัติเพื่อความพ้นทุกข์
ตามพระธรรมคําสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และหลวงพ่อท่านยังเป็นพระที่มักน้อย สันโดษและสร้างสาธารณะประโยชน์ต่อพระพุทธศาสนาและชาติบ้านเมืองเป็นอย่างมาก ดังนั้นจึงควรนําประวัติของท่านมาลงเพื่อให้อนุชนรุ่นหลังได้ศึกษาต่อไป

ลูกสาวพ่อ
21-02-2011 03:48:35
ชาติภูมิ
หลวงพ่อพระราชพรหมยาน (พระมหาวีระ ถาวโร ) เกิดเมื่อวันเสาร์ที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2459 ตรงกับวันขึ้น 9 ค่ำ เดือน 8 ปีมะโรง ที่ตำบลสาลี อำเภอบางปลาม้าจังหวัดสุพรรณบุรี บิดาชื่อ นายควง สังข์สุวรรณ มารดาชื่อ นางสมบุญ สังข์สุวรรณ ท่านเป็นบุตรคนที่ 3 จากพี่น้องร่วมบิดามารดาจำนวน 5 คน ดังนี้
นายวงษ์ สังข์สุวรรณ เกิดปี พ.ศ. 2453 ปีจอ ถึงแก่กรรมเมื่อ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2513
นางสำเภา ยาหอมทอง(สังข์สุวรรณ) เกิดเมื่อ พ.ศ. 2457 ปีขาล
พระราชพรหมยาน (พระมหาวีระ ถาวโร(สังข์สุวรรณ))
พระครูพิศาลวุฒิธรรม (พระมหาเวก อักกวังโส(สังข์สุวรรณ)) เดิมชื่อ หวั่น เกิดปีพ.ศ. 2463 ปีวอก วัดดาวดึงษาราม กรุงเทพมหานคร
ด.ญ. อุบล สังข์สุวรรณ เกิดปี พ.ศ. 2468 ปีฉลู ถึงแก่กรรมตั้งแต่อายุ 4 ขวบ เดิมชื่อ พัว
บิดาเป็นหัวหน้าหาเลี้ยงครอบครัวโดยเป็นเจ้าของนาอยู่ 40 กว่าไร่ ทำนาได้ข้าวปีละ 9 - 10 เกวียน สมัยนั้นราคาข้าวเกวียนละ 20 - 25 บาท บิดาจึงมีอาชีพหลัก คือ ทำนาและหาปลา มารดาเป็นคนใจบุญสุนทาน ขณะจะตั้งครรภ์ นอนฝัน เห็นพรหมมีสีเหลืองเป็นทองคำเหมือนพระพุทธรูป นอนลอยไปในอากาศ มีเพชรประดับแพรวพราวทั้งตัว เข้าทางหัวจั่วด้านทิศเหนือ เข้ามานั่งที่ตักท่าน มารดาก็กอดไว้ แล้วก็หายเข้าไปในกาย เมื่อเกิดมาใหม่ ๆ ลุงที่บวชเป็นพระได้ฌานสมาบัติ (หลวงพ่อเล็ก เกสโร) ท่านบอกว่า เจ้าเด็กคนนี้มาจากพรหม ดังนั้นจึงให้ชื่อว่า "พรหม" และต่อมาภายหลัง คนที่จดสำมะโนครัวเขามาเปลี่ยนชื่อให้เป็น "สังเวียน" เนื่องจากท่านเป็นคนใจกล้า ไม่กลัวใคร ท่านยายกับชาวบ้านเรียกว่า "เล็ก" ส่วนท่านมารดาและพี่ ๆ น้อง ๆ เรียกว่า "พ่อกลาง"
พ.ศ. 2466 อายุ 7 ขวบ เข้าเรียนหนังสือที่โรงเรียนประชาบาลวัดบางนมโค อำเภอเสนา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา จนจบชั้นประถมปีที่ 3 พ.ศ. 2474 อายุ 15 ปี อาศัยกับท่านยายที่บ้านหน้าวัดเรไร อำเภอตลิ่งชัน จังหวัดธนบุรี ได้ศึกษาวิชาแพทย์แผนโบราณ พ.ศ. 2478 อายุ 19 ปี เข้าทำงานเป็นเภสัชกรทหาร สังกัดกรมการแพทย์ทหารเรือ (ปัจจุบันคือโรงพยาบาลสมเด็จพระปิ่นเกล้า) พ.ศ. 2479 อายุ 20 ปี อุปสมบทเป็นภิกษุเมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2479 เวลา 13.00 นาฬิกา ที่วัดบางนมโค อำเภอเสนา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา โดยมีพระครูรัตนาภิรมย์ เป็นพระอุปัชฌาย์, พระครูวิหารกิจจานุการ (ปาน โสนันโท) เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และ พระอาจารย์เล็ก เกสโร เป็นพระอนุสาวนาจารย์
คำสั่งพระอุปัชฌาย์ ขณะเข้าบวช หลวงพ่อปาน ท่านบอกท่านอุปัชฌาย์ว่า เจ้านี่หัวแข็งมาก ต้องเสกด้วยตะพดหนักหน่อย ท่านอุปัชฌาย์ท่านเป็นพระทรงธรรมเหมือนหลวงพ่อ(ปาน) หลวงพ่อเล็กก็เหมือนกัน ท่านอุปัชฌาย์ท่านยิ้มแล้วท่านพูดว่า "3 องค์นี้ไม่สึก อีกองค์ต้องสึกเพราะมีลูก เมื่อจะสึกไม่ต้องเสียดายนะลูก เกษียณแล้วบวชใหม่มีผลสมบูรณ์เหมือนกัน 2 องค์นี้พอครบ 10 พรรษาต้องเข้าป่า เมื่อเข้าป่าแล้วห้ามออกมายุ่งกับชาวบ้านจนกว่าจะตาย จะพาพระและชาวบ้านที่อวดรู้ตกนรก จงไปตามทางของเธอ ท่านปานช่วยสอนวิชาเข้าป่าให้หนักหน่อย ท่านองค์นี้ (หมายถึงฉัน) จงเข้าป่าไปกับเขา แต่ห้ามอยู่ในป่าเป็นวัตร เพราะเธอมีบริวารมาก ต้องอยู่สอนบริวารจนตาย พอครบ 20 พรรษาจงออกจากสำนักเดิม เธอจะได้ดี จงไปตามทางของเธอ ฉันบวชพระมามากแล้วไม่อิ่มใจเท่าบวชพวกเธอ"
พ.ศ. 2480 อายุ 21 ปี สอบได้นักธรรมตรี
พ.ศ. 2481 อายุ 22 ปี สอบได้นักธรรมโท
พ.ศ. 2482 อายุ 23 ปี สอบได้นักธรรมเอก
ระหว่างพรรษาที่ 1 - 4
- เรียนอภิญญา
- ธุดงค์ป่าช้า, ป่าศรีประจันต์, พระพุทธบาท, พระพุทธฉาย, เขาวงพระจันทร์, เขาชอนเดื่อ, ตาคลี จังหวัดนครสวรรค์, ดงพระยาเย็น, ภูกระดึง, พระแท่นดงรัง ฯลฯ
- ศึกษาวิปัสสนา
ระหว่างปี พ.ศ. 2480-2483 ได้ศึกษาพระกรรมฐาน จากครูบาอาจารย์หลายท่าน อาทิเช่นหลวงพ่อปาน โสนันโท วัดบางนมโค, หลวงพ่อจง พุทธสโร วัดหน้าต่างนอก, พระอาจารย์เล็ก เกสร วัดบางนมโค, พระครูรัตนาภิรมย์ วัดบ้านแพน, พระครูอุดมสมาจารย์ วัดน้ำเต้า, หลวงพ่อสุ่น วัดบางปลาหมอ, หลวงพ่อเนียม วัดน้อย, หลวงพ่อโหน่ง วัดอัมพวัน (วัดคลองมะดัน) และ หลวงพ่อเรื่อง วัดใหม่พิณสุวรรณ
พ.ศ. 2483 อายุ 24 ปี เข้ามาจำพรรษาที่วัดช่างเหล็ก อำเภอตลิ่งชัน ธนบุรี เพื่อเรียน บาลีจากนั้นย้ายมาอยู่ที่วัดอนงคารามในช่วงออกพรรษาในสมัยสมเด็จพระพุฒาจารย์(นวม) อยู่วัดช่างเหล็กในช่วงเข้าพรรษา ระหว่างนี้ได้ศึกษาเพิ่มเติมกรรมฐานกับหลวงพ่อสดวัดปากน้ำภาษีเจริญ และพบพระสุปฏิปันโนอีกมาก เช่น สมเด็จพระสังฆราช (อยู่ ญาโณทัย) เป็นต้น
พ.ศ. 2486 อายุ 27 ปี สอบได้ เปรียญธรรม 3 ประโยค เปลี่ยนชื่อเป็น "พระมหาวีระ" เพื่อไม่ให้คล้ายกับ พระมหาสำเนียง ที่อยู่วัดช่างเหล็ก ที่เดียวกัน
พ.ศ. 2488 อายุ 29 ปี สอบได้ เปรียญธรรม 4 ประโยค ย้ายมาอยู่วัดประยูรวงศาวาส ได้เป็นรองเจ้าคณะ 4 วัดประยูรวงศาวาส และฝึกหัดการเป็นนักเทศน์
พ.ศ. 2492 อายุ 33 ปี จำพรรษาที่วัดลาวทอง จังหวัดสุพรรณบุรี
พ.ศ. 2494 อายุ 35 ปี จึงกลับไปอยู่วัดบางนมโคจังหวัดพระนครศรีอยุธยา เป็นเจ้าอาวาสวัดบางนมโค
พ.ศ. 2500 อายุ 41 ปี อาพาธหนักเข้าโรงพยาบาลกรมแพทย์ทหารเรือ
พ.ศ. 2502 อายุ 43 ปี พักฟื้นที่วัดชิโนรสาราม จังหวัดกรุงเทพมหานครฯ จากนั้นจึงได้ย้ายไปอยู่วัดโพธิ์ภาวนาราม อำเภอเมือง จังหวัดชัยนาท ซึ่งขณะนั้นยังเป็นสำนักสงฆ์ ได้ลูกศิษย์รุ่นแรก 6 คน
พ.ศ. 2505 อายุ 46 ปี ไปจำพรรษาที่วัดพรวน อำเภอเมือง จังหวัดชัยนาท เป็นเวลา 1 พรรษา
พ.ศ. 2506 อายุ 47 ปี กลับมาจำพรรษาที่วัดโพธิ์ภาวนาราม พอกลางเดือนมิถุนายน ก็ได้ลาพุทธภูมิ
พ.ศ. 2508 อายุ 49 ปี จำพรรษาที่ วัดปากคลองมะขามเฒ่า ตำบลมะขามเฒ่า อำเภอวัดสิงห์ จังหวัดชัยนาท แล้วเริ่มไป - กลับวัดสะพาน อำเภอเมือง จังหวัดชัยนาท เพื่อสอนพระกรรมฐาน
พ.ศ. 2510 อายุ 51 ปี ได้สอนวิชามโนมยิทธิ แล้วจึงจำพรรษาที่วัดสะพาน อำเภอเมือง จังหวัดชัยนาท
พ.ศ. 2511 อายุ 52 ปี ในวันที่ 11 มีนาคม จึงมาอยู่วัดจันทาราม (ท่าซุง) ตำบลน้ำซึม อำเภอเมือง จังหวัดอุทัยธานี ได้ทำบูรณะ สร้างและขยายวัด จากเดิมมีพื้นที่ 6 ไร่ 2 งาน 07 2/10 ตารางวา จนกระทั่งเป็นวัดที่มีบริเวณพื้นที่ประมาณ 289 ไร่ 1 งาน 40 ตารางวา มีอาคารและถาวรวัตถุต่าง ๆ จำนวน 144 รายการในวัด สิ้นค่าก่อสร้างทั้งสิ้น 611,949,193 บาท สิ่งก่อสร้างทั้งในวัดและนอกวัด อาทิเช่น หอสวดมนต์, พระพุทธรูป, อาคารปฏิบัติกรรมฐาน, ศาลาการเปรียญ, วิหาร 100 เมตร, โบสถ์ใหม่, บูรณะโบสถ์เก่า, ศาลา 2 ไร่, 3 ไร่, 4 ไร่ และ 12 ไร่, หอไตร, โรงพยาบาลศูนย์แม่และเด็ก ชนบทที่ 61, พระจุฬามณี, มณฑปท้าวมหาราชทั้ง 4, พระบรมราชานุสาวรีย์ 6 พระองค์, พระชำระหนี้สงฆ์, โรงไฟฟ้า, โรงเรียนพระสุธรรมยานเถระวิทยา, ศูนย์สงเคราะห์ผู้ยากจนในแดนทุรกันดารตามพระราชประสงค์ เป็นต้น ทั้งยังได้ช่วยการก่อสร้างที่วัดอื่น ๆ ในประเทศไทยอีกมากมาย
พ.ศ. 2520 อายุ 61 ปี ตั้งศูนย์สงเคราะห์ผู้ยากจนในแดนทุรกันดารตามพระราชประสงค์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เมื่อวันที่ 21 ตุลาคม
พ.ศ. 2526 อายุ 67 ปี สร้างโรงพยาบาลแม่และเด็กชนบทที่ 61 และมอบให้กรมอนามัยกระทรวงสาธารณสุข
พ.ศ. 2527 อายุ 68 ปี ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์ เป็นพระราชคณะชั้นสามัญเปรียญวิ.(ป.ธ.4 น.ธ.เอก) ที่ "พระสุธรรมยานเถร"
พ.ศ. 2528 อายุ 69 ปี สร้างโรงเรียนพระสุธรรมยานเถระวิทยา
พ.ศ. 2532 อายุ 73 ปี ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์ เป็นพรราชาคณะชั้นราช ที่ "พระราชพรหมยาน ไพศาลภาวนานุสิฐ มหาคณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสี"
พ.ศ. 2535 อายุ 76 ปี ได้อาพาธด้วยโรคปอดบวมอย่างแรง และติดเชื้อในกระแสโลหิต เข้ารักษาที่โรงพยาบาลศิริราช และมรณภาพที่โรงพยาบาลศิริราช เมื่อวันศุกร์ที่ 30 ตุลาคม 2535 เวลา 16.10 น. ปัจจุบันศพของหลวงพ่อได้บรรจุไว้ในโลงแก้วบนบุษบกทองคำที่ประดับด้วยอัญมณีอันวิจิตรงดงาม ณ วัดจันทาราม ตำบลน้ำซึม อำเภอเมือง จังหวัดอุทัยธานี
ตลอดระยะเวลาที่อุปสมบทอยู่ หลวงพ่อพระราชพรหมยานได้ทำหน้าที่ของพระสงฆ์ ในพระพุทธศาสนาอย่างสมบูรณ์ กล่าวคือ
ทางด้านชาติ ได้สร้างโรงพยาบาล, สร้างโรงเรียน, จัดตั้งธนาคารข้าว, ออกเยี่ยมเยียน ทหารหาญของชาติและตำรวจตระเวณชายแดนตามหน่วยต่าง ๆ เพื่อ ปลุกปลอบขวัญและกำลังใจ และ แจกอาหาร, ยา, อุปกรณ์อำนวยความสะดวก และวัตถุมงคลทั่วประเทศ
ทางด้านพระศาสนา ได้สั่งสอนพุทธบริษัทศิษยานุศิษย์ให้มุ่งพระนิพพานเป็นหลัก โดยให้ประพฤติปฏิบัติสำรวมกาย, วาจา, ใจ, มุ่งในทาน, ศีล, สมาธิ และปัญญา ทั้งในทางกรรมฐาน 40 และมหาสติปัฏฐานสูตร ได้พิมพ์หนังสือคำสอนจำนวนมากและบันทึกเทปคำสอนกว่า 1,000 ม้วน นอกจากนี้ยังได้แสดงธรรมเทศนาทางสถานีวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์เป็นครั้งคราว นอกจากนี้ ยังเดินทางไปสงเคราะห์คณะศิษย์ในต่างจังหวัดและต่างประเทศทุก ๆ ปี
ทางด้านวัตถุ ท่านได้ช่วยสร้างพระพุทธรูปและถาวรวัตถุไว้ในพระพุทธศาสนามากกว่า 30 วัด รวมทั้งการบูรณะฟื้นฟูวัดท่าซุงด้วยเงินกว่า 600 ล้านบาท ได้สร้างพระไตรปิฎก และถวายผ้าไตรแก่วัดต่างๆ ปีละไม่ต่ำกว่า 200 ไตร
ทางด้านพระมหากษัตริย์ท่านได้สนองพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยการจัดตั้งศูนย์สงเคราะห์ผู้ยากจนในถิ่นทุรกันดารตามพระราชประสงค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ซึ่งศูนย์ฯ นี้ได้ดำเนินการสงเคราะห์ราษฎรในถิ่นทุรกันดารทั่วประเทศมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2520 ทั้งการแจกเสื้อผ้า, อาหาร และยารักษาโรคแก่ราษฎรผู้ยากจน, การช่วยเหลือ ผู้ประสบภัยทางธรรมชาติ, การจัดแพทย์เคลื่อนที่ออกรักษาพยาบาลราษฎรผู้เจ็บป่วย, การให้ทุน นักเรียนที่เรียนดีแต่ยากจน, การบริจาคทุนทรัพย์ให้แก่มูลนิธิและโรงพยาบาลต่าง ๆ ฯลฯ
นับได้ว่าพระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยานเป็นปูชนียบุคคลผู้อยู่ด้วยความกรุณา เป็นปกติ พร่ำสอนธรรมะและสิ่งทีเป็นประโยชน์และสงเคราะห์เกื้อกูลมหาชนด้วยเมตตามหาศาลสมกับเป็น ศากยบุตรพุทธชิโนรสแท้องค์หนึ่ง
ลูกสาวพ่อ
21-02-2011 03:49:13

คุณวิเศษส่วนองค์และต่อส่วนรวม

1. เป็นผู้ได้บำเพ็ญบารมีมามาก
2. ทรงอภิญญาสมาบัติและปฏิสัมภิทาญาณ
3. ทรงเถรธรรม ประกอบด้วย รัตตัญญู (รู้ราตรีนาน), สีลวา (มีศีล), พหุสสุตะ (ทรงความรู้ได้ฟังมาก), สวาคตะปาฏิโมกขะ (วินิจฉัยพระวินัยได้ดี), อธิกรณสมุปปาทวูปสมกุสละ (ฉลาดในการระงับอธิกรณ์ที่เกิดขึ้น), ธัมมกามะ (ใคร่ในธรรม), สันตุฏฐะ (สันโดษ), ปาสาทิกะ (น่าเลื่อมใส), ฌานลาภี (คล่องในฌาน) และ อนาสวเจโตวิมุตติ ปัญญาวิมุตติ (บรรลุเจโตวิมุติ และปัญญาวิมุติ สิ้นอาสวกิเลส
4. รู้แจ้งในไตรภูมิ
5. เป็นที่รักของพระ พรหม เทพยดาและมนุษย์ทั้งปวง
6. สอนคนให้เข้าใจถึงพระนิพพานได้จริง ตามมาตรฐานการปฏิบัติธรรมแห่งพระพุทธศาสนาครบถ้วนทั้ง 4 หมวด อันได้แก่
6.1) สุกขวิปัสสโก ปฏิบัติธรรมแบบเรียบ ๆ มีมรรคมีผล แต่ไม่มีความรู้พิเศษ
6.2) เตวิชโช หรือเรียกว่า วิชชา 3 มีมรรคมีผล และมีความรู้พิเศษคือ ทิพจักขุญาณ รู้ว่าคนเกิดมาจากไหน ตายไปไหน เป็นต้น มีญาณ 8 ประการ
6.3) ฉฬภิญโญ หรือเรียกว่า อภิญญา 6 มีมรรคมีผล และมีความรู้พิเศษคือแสดงฤทธิ์ได้ 5 อย่าง หากหมดกิเลสด้วยจะเรียกว่าได้อภิญญา 6
6.4) ปฏิสัมภิทัปปัตโต หรือเรียกว่า ปฏิสัมภิทาญาณ มีมรรคมีผล และมีความรู้พิเศษครอบคลุมทั้ง 3 หมวดแรก ปฏิสัมภิทาญาณนั้นคือ ทรงพระ
ไตรปิฎก(แตกฉานในเหตุและผล), รู้ภาษาคนทุกภาษาและภาษาสัตว์ทุกชนิด และคล่องแคล่วในการสอนธรรม (ขยายความให้เข้าใจก็ได้ ย่อความให้เข้าใจก็ได้)
คำกล่าวที่จารึกในแผ่นทองซึ่งบรรจุใต้แท่นพระประธาน เมื่อพ.ศ. 2519 ในแผ่นทองได้จารึกไว้ดังนี้ เราพระมหาวีระ มีพระราชานามว่า ภูมิพล เป็นผู้อุปถัมถ์ ร่วมด้วยพุทธศาสนิกชนส่วนใหญ่ สร้างวัดนี้เป็นพุทธบูชา เมื่อศักราชล่วงไปแล้ว 2700 ปีปลาย จะมีพระเจ้าธรรมิกราช นามว่า ศิริธรรมราชา สืบเชื้อสายมาจากเชียงแสนและสุโขทัย ร่วมกับพระอรหันต์ จะมาบูรณะวัดนี้ สืบพระศาสนาต่อไป คณะของเราขอโมทนา แต่อยู่ช่วยไม่ได้ เพราะไปพระนิพพานหมดแล้ว
อีกทั้งท่านยังได้ตั้งสัตยาธิษฐานฝากลูกหลานของท่านไว้ดังนี้ ฉันขอตั้งสัตยาธิษฐาน อ้างคุณพระศรีรัตนตรัย มีองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นประมุข พร้อมด้วยพระอริยสงฆ์ทั้งหมดและพระพรหม และเทพเจ้าทั้งหมด ขอทุกท่านจงกำหนดจิต จดจำลูกหลานของฉันไว้ ว่าบุคคลใดก็ตาม เมื่อเวลาจะตายขอให้สติสัมปัชัญญะสมบูรณ์ มีจิตน้อมไปในกุศลกรรม และขอให้ได้รับผลที่ฉันได้ทำไปแล้วทุกประการแก่ลูกหลานของฉันทุกคน เวลานี้ฉันมองดูแล้วนะ ตรวจดูแล้ว สิ่งที่ฉันต้องการมันสมใจนึกแล้ว ฉันมีความอิ่มใจบอกไม่ถูก ปลื้มใจที่ความปรารถนาสมหวัง ที่ฉันตั้งใจไว้นาน ปรารถนาไว้นานคิดว่าจะทำไม่ได้ แต่เวลานี้ทำได้แล้ว ลูกหลานของฉันทุกคน มีศรัทธาเป็นอจลศรัทธาแล้ว มีความมั่นคงในพระพุทธศาสนาแล้ว มีความดีพอสมควรแล้ว อุโบสถหลังใหม่นี้ มีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 และพระบรมวงศานุวงศ์เสด็จทรงบรรจุพระบรมสารีริกธาตุในพระเกศมาลาของสมเด็จพระ พุทธพรมงคล พระประธานในพระอุโบสถ, เททองหล่อรูปหลวงพ่อปาน และทรงตัดลูกนิมิตด้วย ในช่วงพ.ศ. 2518 - 2520
พระสงฆ์ที่หลวงพ่อพระราชพรหมยานได้เคยสนทนา หรือเป็นสหาย ได้แก่
1. พระครูวิหารกิจจานุการ (ปาน โสนันโท) วัดบางนมโค อำเภอเสนา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา :
ท่านเป็นปฐมาจารย์ ผู้สั่งสอนเป็นองค์แรก สอนกรรมฐานทุกตอนจนถึงระดับนิพพาน และพยายามฝึกฝนให้จนมีความเข้าใจในการปฏิบัติกรรมฐานจนมี ความเข้าใจ
2. หลวงพ่อเล็ก เกสโร วัดดบางนมโค อำเภอเสนา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา : อาจารย์ที่สองรองจากหลวงพ่อปาน เป็นตัวแทนหลวงพ่อปาน ในการควบคุมดูแลในการปฏิบัติเบื้องต้นท่านอยู่วัดบางนมโค เช่นเดียวกัน
3. พระครูอุดมสมาจารย์ วัดน้ำเต้า อำเภอบางบาล จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
4. หลวงพ่อปั้น วัดพิกุล อำเภอบางบาล จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
5. หลวงพ่อสุ่น วัดบางปลาหมอ อำเภอบางบาล จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
6. หลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอก อำเภอบางไทร จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
7. พระครูรัตนาภิรมย์ วัดบ้านแพน อำเภอเสนา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา :พระอุปัชฌาย์ของหลวงพ่อพระราชพรหมยาน
8. หลวงพ่อเนียม วัดน้อย อำเภอบางปลาม้า จังหวัดสุพรรณบุรี
9. หลวงพ่อโหน่ง วัดคลองมะดัน อำเภอสองพี่น้อง จังหวัดสุพรรณบุรี
10. หลวงพ่อเรื่อง วัดใหม่พิณสุวรรณ อำเภอบางปลาม้า จังหวัดสุพรรณบุรี
11. พระครูสุวรรณพิทักษ์บรรพต เจ้าคณะ 11 วัดสระเกศ จังหวัดพระนคร
12. สมเด็จพระสังฆราช (อยู่ ญาโณทัย) วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร จังหวัดกรุงเทพฯ
13. สมเด็จพระพุฒาจารย์ (นวม) วัดอนงคาราม จังหวัดกรุงเทพฯ
14. ท่านเจ้าคุณ พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) วัดปากน้ำภาษีเจริญ จังหวัดธนบุรี
15. ท่านเจ้าคุณ พระธรรมปาหังสณาจารย์ อดีตเจ้าอาวาส วัดประยุรวงศาวาส ธนบุรี
16. ท่านเจ้าคุณ พระมหาโพธิวงศาจารย์ เจ้าอาวาส วัดอนงคาราม จังหวัดธนบุรี
17. พระเดชพระคุณ สมเด็จพระพุฒาจารย์ อดีตเจ้าอาวาส วัดอนงคาราม จังหวัดธนบุรี
18. พระอาจารย์เกษม วัดดาวดึงสาวาส จังหวัดธนบุรี
19. พระอาจารย์ทอง วัดราษฎรสุนทรเจริญ อำเภอดำเนินสะดวก จังหวัดราชบุรี
20. ท่านอาจารย์สุข (เป็นฆราวาส) ตำบลแพงพวย อำเภอดำเนินสะดวก จังหวัดราชบุรี
21. พระเทพวิสุทธิเวที (ไสว สุจิตฺโต ป.ธ.6) อดีตเจ้าอาวาสวัดอนงคาราม จังหวัดกรุงเทพฯ
22. พระราชวิสุทธิเมธี (พระมหาวิจิตร วิจารโณ; พระศรีวิสุทธิโสภณ ในสมัยนั้น) วัดอนงคาราม จังหวัดกรุงเทพฯ
23. พระมงคลชัยสิทธิ์ (พระครูวิชาญชัยคุณ ในสมัยนั้น) วัดปากคลองมะขามเฒ่า อำเภอวัดสิงห์ จังหวัดชัยนาท
24. พระวิสุทธาธิบดี วัดไตรมิตร จังหวัดกรุงเทพฯ
25. พระราชอุทัยกวี จังหวัดอุทัยธานี
26. สมเด็จพระพุฒาจารย์ (เสงี่ยม จันทสิริ)
27. พระครูปิยรัตนาภรณ์ (บุญรัตน์ กันตจาโร) วัดโขงขาว ตำบลบ้านแหวน อำเภอหางดง จังหวัดเชียงใหม่
28. หลวงปู่ชุ่ม โพธิโก วัดไชยมงคล(วัดวังมุย) จังหวัดลำพูน
29. พระครูสุคันธศีล (หลวงปู่คำแสน) วัดสวนดอก จังหวัดเชียงใหม่
30. หลวงปู่แหวน สุจิณโณ วัดดอยแม่ปั๋ง(ดอยม่อนเวียง) อำเภอพร้าว จังหวัดเชียงใหม่
31. หลวงปู่คำแสน คุณาลังกาโร วัดป่าดอนมูล สันกำแพง จังหวัดเชียงใหม่
32. หลวงพ่อทืม(หลวงพ่อบุญทืม พรหมเสโน) วัดจามเทวี จังหวัดลำพูน
33. พระครูสันติวรญาณ(หลวงพ่อสิม) วัดถ้ำผาปล่อง เชียงดาว
34. พระครูพรหมจักสังวร (พระสุพรหมยานเถระ; ครูบาพรหมจักโก) วัดพระพุทธบาทตากผ้า อำเภอป่าซางจังหวัดลำพูน
35. พระครูภาวนาภิรัตน์ (พระสุธรรมยานเถระ; ครูบาอินทจักรรักษา) วัดวนาราม(วัดน้ำบ่อหลวง) อำเภอสันป่าตอง จังหวัดเชียงใหม่
36. พระครูพัฒนกิจจานุรักษ์ (ครูบาชัยยะวงศาพัฒนา) วัดพระพุทธบาทห้วยต้ม อำเภอลี้ จังหวัดลำพูน
37. พระพุทธโฆษาจารย์ วัดสามพระยา จังหวัดกรุงเทพฯ
38. สมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยว อุปเสโณ ป.ธ.9) วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร
39. พระครูวรเวทย์วิสิฐ (ครูบาธรรมชัย) วัดทุ่งหลวง อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่
40. พระภาวนาปัญญาวิสุทธิ์ (อำพัน บุญ - หลง) วัดเทพศิรินทราวาส จังหวัดกรุงเทพฯ
41. หลวงปู่บุดดา ถาวโร วัดกลางชูศรีเจริญสุข อำเภอบางระจัน จังหวัดสิงห์บุรี
42. สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ วัดราชผาติการาม จังหวัดกรุงเทพฯ
ยังคงมีพระสงฆ์อีกมากรูปในชั่วชีวิตของพระราชพรหมยานฯ
ลูกสาวพ่อ
21-02-2011 03:50:17
ประสบการณ์ของผู้ที่ปฏิบัติตามคำแนะนำของหลวงพ่อ
ที่ได้รับผลในปัจจุบันนี้
ผู้ถาม : "หลวงพ่อครับ ผมก็คิดเรื่องการเรื่องงานเป็นประจำเลยครับ ทีนี้อยากถามว่ากรรมฐานบทไหนที่ทำให้ค้าขายดีครับ..?"
หลวงพ่อ : "อ๋อ... ก็บทค้าขายราคาถูกซิ เขาขายหนึ่งบาท เราขายห้าสิบสตางค์ รับรองพรึบเดียวหมด บทนี้ดีมาก เพราะเมตตาบารมีไงล่ะ"
ผู้ถาม : "โอ้โฮ.. ตรงเปี๊ยบเลยหลวงพ่อ.."
หลวงพ่อ : "ยังมีอีกนะ ถ้าบทที่สองดีกว่านี้อีก จาคานุสสติ แจกดะเลย"
ผู้ถาม : ( หัวเราะ ) "โอ...บทนี้น่ากลัวจนแย่เลย"
หลวงพ่อ : "ไอ้เรื่องค้าขายดีมีคาถาตกอยู่บทหนึ่ง"
ผู้ถาม : "เดี๋ยวผมขอจดก่อนครับ"
หลวงพ่อ : "ไม่ต้องจดหรอก คาถามหาโต๊ะ มหาโต๊ะนี่สมัยนั้นบวชด้วยกัน มีโยมคนหนึ่งแกหาบข้าวแกงมาขาย หาบไปตั้งแต่เช้ากลับมาบ่าย มันก็ไม่หมด
วันหนึ่งมหาโต๊ะยืนล้างหน้าอยู่ที่หน้าต่างแกก็บอก
"ท่านมหา มีคาถาอะไรดี ๆ ทำน้ำมนต์ให้ทีเถอะจะได้ขายหมดเร็ว ๆ "
มหาโต๊ะแกไม่ใช่นักคาถาอาคมกะเขานี่ ก็นึกไม่ออก แต่ไอ้นี่น่าจะดีว่ะ "อนัตตา" แกนึกในใจนะ แกไม่ได้บอก แกก็เอาน้ำล้างหน้าพรม ๆ ยายนั่นแกก็กลับไป พอสาย ๆ แกก็กลับ ปรากฏว่าหมด"
ผู้ถาม : "อะไรหมดครับ...?"
หลวงพ่อ : "ของหมด ข้าวแกงหมด แต่หม้อยังอยู่ หาบยังอยู่และคนหาบก็ยังอยู่ แหม..นี่ต้องให้อธิบายให้ละเอียดเลยนะ"
ผู้ถาม : ( หัวเราะ )"คือสงสัยครับ"
หลวงพ่อ : "ก็เป็นอันว่าวันต่อมา โยมคนนั้นแกก็มาหาเรื่อย ๆ แกก็สังเกตมหาโต๊ะ ในที่สุดมหาโต๊ะต้องทำน้ำมนต์ด้วยคาถาบทนี้เอาไว้ที่บูชา แกก็ไปขายหมดทุกวัน ก็แปลกเหมือนกันเพราะจิตตรงใช่ไหม .. อนัตตา นี่เขาแปลว่าสลายตัวไงล่ะ"
ผู้ถาม : "ลูกหลานเอาไปใช้ได้ไหมครับหลวงพ่อ..?"

หลวงพ่อ : "ปู่ย่าตายายก็ใช้ได้"
ผู้ถาม : ( หัวเราะ )"แล้ว คาถาพระปัจเจกพุทธเจ้า ใช้ได้ไหมครับ...?"
หลวงพ่อ : "ความจริงคาถาพระปัจเจกพุทธเจ้าของเขาก็ดี เขาขายของแล้วก็พรมตั้งแต่ตอนเช้า ถ้าตั้งร้านก็พรมหน้าร้านตั้งแต่เช้าตรู่ ตอนล้างหน้านั่นแหล่ะ ทำตอนนั้น เอาน้ำ ล้างเสกด้วยคาถาพระปัจเจกพุทธเจ้า เสกแล้วพอล้างหน้าเสร็จก็พรม ตอนพรมก็ว่าไปด้วยนะ"
ผู้ถาม : "บางคนก็บอกว่า ถ้าว่าคาถา มหาปุญโญ มหาลาโภ ภวันตุ เมฯ ก็จะมีลาภมาก..?"
หลวงพ่อ : "มหาปุญโญ เป็นคาถาเสกพระวัดพนัญเชิง เจ้าอาวาสวัดนั้นรูปร่างผอมดำ นั่งเสกด้วยคาถาบทนี้ ๓ ปี ฉะนั้นวัดนั้นจึงมีลาภมาก แล้วต่อมาสมเด็จหรือใครก็ไม่ทราบ ถามว่าเสกด้วยคาถาอะไร ท่านบอกว่า เสกด้วยคาถา มหาปุญโญ มหาลาโภ ภวันตุ เมฯ แล้วท่านก็บอกให้ต่อด้วยคาถาพระปัจเจกพุทธเจ้า มีอยู่รายหนึ่งชื่อ นายแจ่ม เปาเล้ง บ้านอยู่อำเภอดำเนินสะดวก แกเป็นคนจน ทำสวนอยู่ที่บางช้าง ปลูกพริกขายเป็นอาชีพ เพราะอาศัยความจนของแก จึงได้เป็นหนี้เป็นสินเขาอยู่ตั้ง ๒ หมื่น ( นี่พูดถึงเงินในสมัยนั้นนะ เดี๋ยวนี้เป็นเงินเท่าไรก็คิดกันดู ) ตาแจ่มจึงมาขอเรียนคาถาพระปัจเจกโพธิ์ เมื่อได้ไปแล้ว วัน ๆ ไม่ได้ทำอะไรนอกจากท่องแต่คาถาอย่างเดียว นั่งทำอยู่ทั้งวันทั้งคืน
ข้างฝ่ายลูกเมียของตาแจ่มก็ดีแสนดี ไม่ยอมให้แกทำอะไรเหมือนกัน นอกจากท่องคาถา
"คาถาบทนี้ เขาทำแล้วรวยนี่ ต้องให้มันรวยให้ได้" ลูกเมียแกว่าอย่างนั้น
ตาแจ่มแกคิดจะเอาอย่าง นายประยงค์ ตั้งตรงจิตร นั่นแหล่ะ? ทีนี้ พอพริกออกดอกออกผลขึ้นมาจริง ๆ ตาแจ่มก็คิดจะขายพริกละ ไอ้พริกของคนอื่นนะ งามสะพรั่งมีพริกเยอะแยะ มองดูหนาทึบ ไปหมด ส่วนพริกของตาแจ่มพิเศษกว่าเขา มียอดหงุก ๆ หงิก ๆ เม็ดก็บางตา มองดูโปร่ง ๆ ดูท่าทางแล้วเห็นจะขายได้ไม่กี่สตางค์
อีตอนเก็บนี่ซิ คนอื่นเก็บพริกได้กองใหญ่เท่าไร ตาแจ่มก็เก็บได้กองโตเท่านั้น เห็นพริกบาง ๆ ยอดหงุกหงิก ๆ นั่นแหล่ะ เขาเก็บได้เท่าไร ตาแจ่มก็เก็บได้เท่านั้น มาถึงตอนขาย เจ๊กชั่งของคนอื่นได้ ๑ หาบ พอมาของตาแจ่มกลับเป็น ๒ หาบ ทั้ง ๆ ที่กองก็โตเท่ากัน เจ๊กหาว่าตาแจ่มโกง คิดว่าเอาทราบใส่เข้าไปในกองพริกเป็นการถ่วงน้ำหนักเลยเอะอะโวยวายใหญ่ ปรากฏว่าเม็ดดินเม็ดทรายที่เจ๊กว่า นั้นหาไม่ได้เลย เล่นเอาเจ๊กแปลกใจ แต่ก็ต้องซื้อไปตามนั้น
พริกของคนอื่นเขาเก็บกัน ๒ - ๓ ครั้ง ก็หมดแล้วครั้งแรกมาก ครั้งที่สองได้มากหน่อย พอครั้งที่สาม เก็บได้อีกเพียงเล็กน้อยเป็นอันว่าหมดกัน ต้องถอนต้นพริกทิ้งแล้วปลูกกันใหม่ ส่วนพริกของตาแจ่มไม่เป็นอย่างนั้น ต้องลงมือเก็บกัน ๖ ครั้งถึงได้หมด พริกที่ได้แต่ละครั้งก็มีปริมาณเท่า ๆ กัน นี่ไอ้พริกใบหงุกหงิก ๆ นั้นแหละ เก็บกันซะ ๖ คราว ผลที่สุด พริกของตาแจ่มก็กลายเป็นของอัศจรรย์ แถมเจ๊กยังตีราคาให้สูงกว่า พริกของคนอื่นเสียอีก เพราะว่า "เมื่อส่งไปแล้วเป็นพริกที่มีค่า ทางโน้นเขาให้ราคาสูง" ปีนั้นจึงใช้หนี้สองหมื่นหลุดหมด แถมยังมีเงินเหลืออีกตั้งสองหมื่น"
( นี่เห็นไหม... ถ้าหากว่า ท่านภาวนาคาถาบทนี้อยู่เสมอ ท่านอาจจะรวยกว่านายแจ่มก็ได้นะ )
ต่อมามีผู้นำคาถา อนัตตา ไปปฏิบัติหลังจากที่หลวงพ่อแนะนำไปแล้ว เขาผู้นั้นได้เข้ามารายงานกับหลวงพ่อว่า
"หลวงพ่อครับ อนัตตา แจ๋วเลยครับ อัศจรรย์มาก ตอนบ่ายวันนี้ฟลุ๊คมาก ของที่ผมขายฝรั่งซื้อคนเดียว ๑,๖๐๐ บาท ไม่เคยมีปรากฏเลยครับ""
"อาจารย์ทำยังไงล่ะ.. อาจารย์ใช้แบบไหน จึงมีผลตามลำดับ... จะได้แจกจ่ายคนอื่นเขาบ้าง"
ผู้ถาม : "อันดับแรกตักน้ำใส่แก้ว แล้วนำไปไว้หน้าพระพุทธรูปที่โต๊ะหมู่บูชา แล้วชุมนุมเทวดาไหว้พระบูชาพระตามหลวงพ่อกล่าวนำ มีมนต์อะไรก็สวดไป ของผมสวดยาวหน่อย เมื่อสวดเสร็จแล้ว ก็อาราธนาบารมีพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระอรหันต์ทั้งหลาย พระอริยสงฆ์ทั้งหลาย แล้วก็มาหลวงปู่ปาน แล้วมาหลวงพ่อ
เสร็จแล้วเช้าตื่นมาก็กราบแก้วน้ำ ๕ ครั้ง แล้วก็เอามาที่ห้องน้ำ แบ่งครึ่ง ครึ่งหนึ่งใส่ขันสำหรับล้างหน้า ก่อนจะแบ่งก็ตั้งจิตให้ดี ว่านะโม ๓ จบ แล้วก็ว่าคาถานี้อีกครั้งหนึ่ง เท่าที่ใช้ก็ใช้คาถา มหาปุญโญ มหาลาโภ ภวันตุ เม ฯ แล้วก็มาว่า คาถาพระปัจเจกพุทธเจ้า เมื่อว่าเสร็จแล้วก็บอก "อนัตตา ขายเกลี้ยง"
อีกครึ่งหนึ่งเราแบ่งมาแล้วก็ว่า คาถาวิระทะโย ไป แล้วก็พรมตู้อะไรต่าง ๆ แล้วก็ลงท้าย "อนัตตา ขายเกลี้ยง ๆ ๆ" แม้แต่หน้าร้านก็พรมออกไปเลย ถ้าใครเดินมาถูกน้ำมนต์ปุ๊บอยู่ไม่ได้ ต้องมาซื้อ อันนี้ได้ผลดีครับ"
หลวงพ่อ : "อ้าว.. จำได้ไหมล่ะ อันนี้ก็ดีมีประโยชน์นะ ควรจะนำไปใช้ทุก ๆ คนนะ ฉันบอกให้อาจารย์เขาไปทำ ท่านทำแล้วผลมันเกิดขึ้นทุกวัน"
ผู้ถาม : "แล้วถ้าฟลุ๊คอะไรเป็นพิเศษละก้อ เวลาจุดธูปเทียนหรือพรมน้ำมนต์ มันจะมีขนลุกซู่ซ่า ถ้าซู่มากละ มาแน่"
หลวงพ่อ : "อ้อ..กำลังปีติสูง ใช่ เพราะซู่ซ่านี่เจ้าของมาแสดงให้ปรากฏ ถ้านึกถึงท่านจริง ท่านเข้ามาช่วยจริงก็ถือว่าเป็นอาการของปีติ เมื่อสัมผัสแล้วทางจิตใจก็เกิดปีติ ความอิ่มใจเกิดขึ้น ขนลุกซู่ซ่ามาก การแสดงออกตามอาจารย์พูดน่ะถูก ถ้าหากว่าสัมผัสน้อยก็มีผลน้อยหน่อย แต่ก็ดีกว่าปกติ สัมผัสมากก็มีผลมากหน่อย ปัจจุบันทันด่วน อันนี้ถูกต้อง ถ้าทำขึ้น หนักจริง ๆ นะ ถ้าขายของเป็นน้ำหนัก น้ำหนักจะสูงขึ้น แล้วก็ไม่สูงแต่ของเรา เอาไปขายคนอื่นต่อก็สูง นี่เขาทำมาแล้วนะ คนที่ไทรย้อยแกขายข้าว ไปซื้อข้าวมาวันนี้ พรุ่งนี้จะเอาไปขึ้นโรงสี แกก็พรมน้ำมนต์ก่อน พอถึงบ้านก็พรมน้ำมนต์หน่อย พอขึ้นโรงสีปรากฏว่าน้ำหนักสูง
ถ้าหากว่าของที่เก็บไว้ในปี๊บในถงในอะไรก็ตาม จะมีปริมาณสูง
เมื่อก่อนหลวงพ่อปานท่านบอก เอาข้าวใส่ยุ้งฉางให้เรียบร้อย ตวงให้ดี แล้วนับให้ดี ทำมาจนกว่าจะถึงฤดูออกมาใช้มาขาย แล้วตวง มันจะมากทุกคราว
จำเอาไว้นะ ถ้าปฏิบัติ ทุกคนจะไม่จน ฉันอยากให้ทุกคนรวย ฉันจะได้รวยด้วย พระแช่งให้ชาวบ้านจนก็ซวย พระไม่มีกินน่ะซิ"
ลูกสาวพ่อ
21-02-2011 03:50:46
คาถาเงินล้าน
ตั้ง นะโม ๓ จบ
สัมปจิตฉามิ คาถาสนองกลับ
นาสังสิโม คาถาพระพุทธกัสสป
บทแรก "พรหมมา จะ มหาเทวา สัพเพยักขา ปะรายันติ" อันนี้ตัดอุปสรรคที่ลาภจะมาแต่เขามาบอก ว่ามีผลแน่นอน คือว่า แกจะไม่ยอมให้ลูกแกจน พูดง่าย ๆ ก็แล้วกัน พระพุทธเจ้า ก็ทรงยืนยันบอกว่า ให้ หมด
บทที่สอง "พรมหมา จะ มหาเทวา อภิลาภา ภะวันตุเม" คาถาบทนี้เป็นคาถาเงินแสนของท่าน
บทที่สาม "มหาปุญโญ มหาลาโภ ภะวันตุ เม" บทนี้เป็นคาถาปลุกพระวัดพนัญเชิง
บทที่สี่ "มิเตพาหุหะติ" เป็นคาถาเงินล้าน
บทที่ห้า "พุทธะมะอะอุ นะโมพุทธายะ วิระทะโย วิระโคนายัง วิระหิงสา วิระทาสี วิระทาสา วิระอิตถิโย พุทธัสสะ มามีมามะ พุทธัสสะ สวาโหม" เป็นคาถาพระปัจเจกพุทธเจ้า
บทที่หก "สัมปติฉามิ" บทนี้เป็นบทเร่งรัดบทสุดท้าย
บทที่เจ็ด "เพ็ง ๆ พา ๆ หา ๆ ฤา ๆ" พระปัจเจกพุทธเจ้า มาบอกหลวงพ่อเมื่อ พ.ย. 33 เป็นภาษาโบ ราณ แต่เทียบกับภาษาไทยอ่านได้อย่างนี้ เป็นคาถามหาลาภ มีผลยิ่งใหญ่มาก ทั้งหมดนี้ต้องสวดเป็นบท เดียวกัน บูชาเรื่อย ๆ ไป การบูชาถ้าบูชาเฉย ๆ มันเป็นเบี้ยต่อไส้
คาถา ว่า 9 จบ หลวงพ่อบอกว่า ถ้าว่า 9 จบเป็นเบี้ยต่อไส้ จะว่ามากกว่านั้นก็ได้ แต่ถ้าท่องจนเป็นสมาธิหรือได้ญาณจะได้ผลดีมาก อย่าลืมถ้าอยากจะให้ได้ผลต้องท่องจนเป็นสมาธิและใส่บาตรทุกวัน ถ้าไม่ว่างก็ใส่บาตร วิระทะโย ที่วัดแจก แล้วถ้าว่างจะนําไปถวายก็สุดแล้วแต่ท่านหรือสิ้นเดือนก็นําไปถวายที่บ้านสายลมก็ได้ อันนึ้ลูกศิษย์หลวงพ่อที่เคยปฏิบัติจนสําเร็จกล่าวให้ผู้เขียนฟังนานแล้ว
ความสามารถหลวงพ่อในวัยเด็ก
บันทึกโดยคุณปรุง ตุงคะเศรณี
คืนวันที่ 16 ธันวาคม 2526 ก่อนเวลานั่งกรรมฐานหลวงพ่อท่านไม่ได้ลงสอน และท่านได้คุยกับเราเรื่องเมื่อตอนเด็กๆอยู่ที่ โรงเรียน
1พระเดขพระคุณหลวงพ่อชอบเล่นกีฬา ฟุตบอลและสามารถเตะจากประตูที่ยืนโด่งเข้าไปประตูตรงกันข้ามได้(โหสุดยอด)และหัดอยู่ไม่นานก่อนที่จะสามารถเตะได้เช่นนี้ท่านเตะกับเพื่อนอีกหนึ่งคนผลัดกันเตะโดยอยู่คนละด้านตรงหน้าประตูและเพื่อนก็สามารถเตะเข้าประตูตรงที่ท่านยืนอยู่ได้
2. ท่านเคยลงแข่งขันเป็นนายประตู และเตะแบบข้อหนึ่ง เตะเข้าประตูฝ่ายตรงข้ามคือเพื่อนที่ซ้อมเตะมาด้วยกันนั้นก็สามารถเตะเข้าประตูที่ท่านรักษาได้เหมือนกัน เมื่อลงเล่นเตะได้ประตูเช่นนี้คนละครั้งกรรมการเลยให้ท่านและเพื่อนออกไปนอกสนามเพราะไม่อยากให้เล่นต่อ
3. ท่านชอบมวยไทย เคยหัดเตะต้นกล้วยที่ตัดยอดและโคนออกแล้ว เอามาตั้งปักไว้และเตะทั้งซ้ายและขวา ต้นกล้วยไม่ล้มท่านบอกว่าครั้งแรกต้นกล้วยไม่ล้มแต่ตัวเราล้ม
4. ท่านอบเล่นปามีด สามารถปามีดปาดโคนหรือเครือกล้วยได้ทั้งเครือ ให้ขาดตกลงมารับได้สบาย ท่านเล่าว่าหัดปาเพียงวันเดียวเท่านั้นเข้าใจว่าเป็นของเก่าตามมาท่านพกมีดปา 5 เล่ม ที่พุงตามขอบกางเกงที่พุง
เคยมีนักเลง 5 คนจะรุมทำร้ายท่านพระเดชพระคุณหลวงพ่อเป็นนักเลงต่างถิ่น
ท่านแสดงปามีดปักผลกล้วยให้ดูและก็บอกว่าแค่นี้ปานัยน์ตาไม่พลาด พวกนักเลงต่างถิ่นรีบหนีไปหมดเลย(ผู้เขียนเคยได้ยินท่านเล่าเหมือนกันท่านสามารถใช้มีดปามะม่วงให้ตกลงมาได้โดยให้ชี้ว่าต้องการลูกไหน)
5. หัดว่ายน้ำข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา ที่ท่าราชวรดิฐหัดว่ายไปอยู่จนสามารถว่ายไปกลับข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา 20 เที่ยวอย่างแบบสบายๆ
ที่มา เวปแดนพระนิพพานและหนังสือตามรอยพระพุทธบาทเล่ม 4
ลูกสาวพ่อ
21-02-2011 03:51:17
ทำ จิตให้สงบ นึกถึงพระพุทธเจ้า จิตเราอยู่ที่พระองค์อย่างเดียว
พระธรรมเทศนาจากหลวงพ่อพระราชพรหมยาน

ทำ จิตให้สงบ นึกถึงพระพุทธเจ้า จิตเราอยู่ที่พระองค์อย่างเดียว ให้เรานึกถึงพระพุทธเจ้าที่เป็นรูปใหญ่ ให้ใหญ่พอที่เราจะเข้าไปอยู่ในพระองค์ได้ นึกถึงพระองค์ในปางไหนก็ได้
หายใจเข้าลึก ๆ ค้างไว้ แล้วค่อยปล่อยออกมาเบา ๆ ช้า ๆ ไม่ต้องรีบ
หายใจเข้าลึก ๆ ใหม่ ค้างไว้ แล้วค่อยปล่อยออกมาช้า ๆ
หายใจเข้าลึก ๆ ค้างไว้ แล้วค่อยปล่อยออกมาช้า ๆ
ทำใจแบบสบาย ๆ แล้วตั้งจิตอธิษฐาน
ลูกขออาราธนาอัญเชิญองค์สมเด็จพระวิสุทธิพุทธรังสีบรมธรรมบิดา มาประทับอยู่บนศรีษะของลูก ขอเมตตาปกป้องภยันอันตรายต่าง ๆ ควบคุมความคิดควบคุมระบบร่างกายทั้งหมดด้วยเทอญ ขอพระองค์มาพร้อมพลังแสงของพระองค์ แสงแห่งบุญบารมี
ลูกขออาราธนา อัญเชิญองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระพุทธปฐมบรมธรรมบิดา ประทับเต็มใบหน้าและลำตัวของลูก ขอให้ขันธ์ 5 นี้ได้รับบุญบารมีจากพลังแสงของพระองค์ มีฤิทธิ์อำนาจดุจพลังแสงของพระองค์
ลูก ขออาราธนาอัญเชิญองค์สมเด็จพระกะกุสันโธประทับที่ตาข้างขวา พระโกนาคมประทับที่ตาข้างซ้าย พระพุทธสิกขีทศพลประทับที่ดวงตาที่สาม ขอให้ดวงตาทั้งสามดวงนี้ได้เห็นถึงความจริงของทั้งสามโลก รู้เท่าทันกับทุกสิ่งทุกอย่าง มองเห็นในสิ่งที่สามารถช่วยเหลือคนอื่นได้ ด้วยฤทธิ์อำนาจของพระองค์
ลูกขออาราธนาอัญเชิญพระพุทธเจ้าพระพุทธกัสสะปะประทับที่ปากของลูก ขอเมตตาให้ลูกเจรจาพาทีด้วยธรรมะบริสุทธิ์
ลูกขออาราธนาอัญเชิญพระพุทธสมณโคดมบรมอาจารย์ประทับในสมอง ขอลูกเป็นปราชญ์ทั้งทางโลกและทางธรรม ขอพระองค์เป็นอาจารย์สอนลูก ประทับที่อกขอปิดประตูแห่งการเวียนว่ายตายเกิดทุก ๆ ชาติ ลูกปรารถนาจะไปนิพพานในชาตินี้ ประทับที่หัวใจ ขอให้ลูกเต็มไปด้วยพรหมวิหาร 4 ประทับที่ปอด ขอให้ลูกมีขันธ์ 5 ที่แข็งแรงเพื่อทำงานรับใช้พระศาสนาด้วยเถิด
ลูกขออโหสิกรรมขอขมาลา โทษแด่องค์สมเด็จพระวิสุทธิพุทธรังสีบรมธรรมบิดา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ พระธรรม พระอริยสงฆ์สาวกทั้งหลาย คุณพ่อคุณแม่ทุก ๆ ชาติ ครูบาอาจารย์ทุก ๆ ชาติ เจ้ากรรมนายเวรทุก ๆ ชาติ ที่ลูกได้ทำผิดพลาดพลั้งไป ด้วยกายวาจาใจ โดยรู้เท่าถึงกาลก็ดี รู้เท่าไม่ถึงกาลก็ดี เจตนาก็ดี ไม่เจตนาก็ดี ขอได้โปรดอโหสิกรรมให้แก่ลูกผู้มีความรู้น้อยด้อยปัญญานี้ด้วยเถิด
ข้าแต่องค์สมเด็จพระวิสุทธิพุทธรังสีบรมธรรมบิดา ลูกนี้เป็นผู้มีบุญน้อยไร้ซึ่งวาสนาแต่ลูกขอตั้งจิตอธิษฐานว่า ลูกไม่ปรารถนาจะเกิดเป็นคนเทวดาพรหมอีกต่อไป ลูกปรารถนาจะนิพพานทันใดในชาตินี้ ขอติดตามองค์พระพิชิตมารบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ขอได้โปรดประทานพลังแสงทิพย์อริยธรรมรวมกับแสงฉัพพรรณรังสีพลังแสงบุญบารมี จากพระทุก ๆ พระองค์ เทพทุก ๆ พระองค์ จากคุณพ่อคุณแม่ทุก ๆ ชาติ คุณครูบาอาจารย์ทุก ๆ ชาติ พุ่งเข้ามาที่ดวงจิตของลูก ขอให้ช่วยลบล้างซึ่งกิเลส ตัณหา อุปาทาน อวิชชา อกุศลกรรม บาปกรรมเวรกรรมที่ลูกมี ขอได้โปรดให้ลูกมีบุญเพียงพอที่จะลบล้างสิ่งเหล่านี้ให้หมดสิ้น
พร้อม กันนั้นลูกขอกราบอนุโมทนาสาธุในบุญบารมีขององค์สมเด็จพระวิสุทธิพุทธรังสี บรมธรรมบิดา ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ พระธรรม พระอริยสงฆ์สาวกทั้งหลาย พระอรหันต์ทุก ๆ พระองค์ พระอริยสัตว์ทุก ๆ พระองค์ พี่น้องของลูกทั้งสามโลกที่ได้ทำคุณงามความดีตลอดเวลา ลูกขออนุโมทนาบารมีความดีของทุก ๆ ดวงจิต ของทุก ๆ ท่าน ไปกับพลังแสงทิพย์อริยธรรม รวมกับแสงฉัพพรรณรังสี รวมกับบารมีของพระทุก ๆ พระองค์ เทพทุก ๆ พระองค์ด้วยเทอญ สาธุ สาธุ สาธุ
หายใจเข้านะมะพะธะ หายใจออกนะโมพุทธายะ
หายใจเข้านะมะพะธะ หายใจออกนะโมพุทธายะ
หายใจเข้านะมะพะธะ หายใจออกนะโมพุทธายะ
หายใจเข้านะมะพะธะ หายใจออกนะโมพุทธายะ
หายใจเข้านะมะพะธะ หายใจออกนะโมพุทธายะ
ลูกเอ๋ย…จงลองพิจารณาดวงตาของเจ้าเถิด ดวงตาของเจ้านั้นชอบมองในสิ่งใดกัน ?
จงพิจารณาจากปากของเจ้าเถิด เจ้าชอบใช้ปากในเรื่องอะไรกัน ?
จงพิจารณาจากหูของเจ้าเถิด เจ้าชอบนำหูของเจ้าไปใช้ฟังเรื่องอะไรกัน ?
จมูกเจ้าชอบไว้ใช้ทำอะไร ?
มือทั้งสองข้าง เท้าทั้งสองเจ้าไว้ใช้ทำอะไร ?
บุคคล ผู้ใดชอบใช้สายตาของตัวเองในสิ่งที่อยากมองและเลือกมองนั้น บุคคลผู้นั้นย่อมไม่ฉลาด แต่บุคคลผู้ใดมองทุกสิ่งทุกอย่างอย่างละเอียดถี่ถ้วนพร้อมพิจารณา บุคคลผู้นั้นชื่อว่าเป็นปราชญ์
บุคคลผู้ใดชอบใช้หูในการฟังคำชม มากกว่าคำติชม บุคคลผู้นั้นได้ชื่อว่าเป็นคนไม่ทันโลก บุคคลผู้ใดใช้หูในการพิจารณาในทุกเรื่องราว บุคคลผู้นั้นได้ชื่อว่าเป็นผู้รู้เท่าทันในสิ่งสมมุติทั้งหมด
บุคคล ผู้ใดใช้จมูกในการสูดดมกลิ่นที่ตนเองชอบ บุคคลผู้นั้นได้ชื่อว่าเป็นคนพิการทางจมูก แต่หากบุคคลผู้ใดพิจารณาถึงทุกกลิ่น บุคคลผู้นั้นได้ชื่อว่าเป็นคนมีปัญญา
บุคคลผู้ใดใช้ปากในการติฉินนินทา บุคคลผู้นั้นเป็นบ่าว บุคคลผู้ใดใช้ปากในการอวยพรให้กำลังใจคน บุคคลผู้นั้นคือพระ
บุคคล ผู้ใดชอบใช้มือในการรับ บุคคลผู้นั้นได้ชื่อว่า ขอทาน รับเพียงอย่างเดียวไม่คิดให้ตอบ แต่บุคคลผู้ใดรักในการให้ ให้ด้วยความเมตตาสงสารกรุณา บุคคลผู้นั้นคือกษัตริย์
บุคคลผู้ใด ใช้เท้าในการเดินไปหาในสิ่งที่ตนเองชอบ บุคคลผู้นั้นเดินเข้าสู่อบายภูมิ แต่บุคคลผู้ใดใช้เท้าในการโปรดเวไนย์สัตว์ บุคคลผู้นั้นคือพระอรหันต์
ลูกเป็นเช่นไร ? จงพิจารณาเถิด
นะมะพะธะหายใจเข้า นะโมพุทธายะหายใจออก
นะมะพะธะหายใจเข้า นะโมพุทธายะหายใจออก
นะมะพะธะหายใจเข้า นะโมพุทธายะหายใจออก
นะมะพะธะหายใจเข้า นะโมพุทธายะหายใจออก
นะมะพะธะหายใจเข้า นะโมพุทธายะหายใจออก
ทำไมดวงตามีหลายสี ? ผมมีหลากสี ? ผิวมีหลากสี ? กลิ่นมีหลากแบบ ? หน้าตามีหลากหลาย ? เป็นเพราะอะไร ?
ก็ เป็นเพราะที่มนุษย์ชอบกันนักหนาในการแบ่งแยกแบ่งชนชั้นกันไม่ใช่หรือ ? แล้วยังจะสงสัยในสิ่งที่มีหลากหลายทำไม ตัวเจ้าเองก็ยังชอบในการแบ่งแยกเลย แต่เมื่อมองในสิ่งที่ลูกทั้งหลายมองไม่เห็น ลูกก็จะรู้ว่าพระวิสุทธิบรมธรรมบิดามิได้แบ่งแยก นั่นก็คือจิตที่เป็นพุทธะประภัสสรของลูกเอง ไร้ซึ่งการแบ่งแยก ไร้ซึ่งพรหมแดน แต่เมื่อเจ้าแบ่งแยก จึงเกิดหลากหลายสีสัน หลากหลายชนชั้น หลากหลายวรรณะ แล้วจะสงสัยกันทำไมลูก ได้รับคำตอบแล้วจงคิดพิจารณาตามเถิด
ทำไม มนุษย์จึงมีหลากหลายคำถามหลากหลายความไม่เข้าใจ ? ก็เพราะสิ่งนี้เจ้าสร้างมันขึ้นมาเอง เพราะเจ้าสร้างขึ้นมาเป็นเกราะ เกราะนี้จึงเป็นเหตุให้เจ้าไม่สามารถทะลุออกมาเพื่อเจอความจริง
จงให้อดีตเป็นอาจารย์ในการสอนเจ้า จงให้ปัจจุบันเป็นพระพุทธเจ้าที่เจ้าควรทำตามแบบอย่าง จงให้อนาคตเป็นพระธรรมคำสอนที่เจ้าควรเดินตาม
อย่า กังวลคิดมากไป เหตุใดเราทำดีแล้วจึงมิได้ดี อย่าได้แปลกใจเลยลูก จงให้อนาคตเป็นเครื่องพิสูจน์ แล้วทำปัจจุบันให้ดีที่สุด ผลกรรมดีตอบสนองเจ้าอย่างแน่นอน
ความเสียสละคืออะไรลูก ? จงคิดพิจารณาเถิด แล้วความเสียสละตั้งอยู่บนพื้นฐานของอะไร ? จงใช้การพิจารณาและไตร่ตรอง
แล้วอะไรกันที่มนุษย์ปรารถนา แล้วเจ้าจะให้อะไรแก่มนุษย์เหล่านั้นได้บ้าง ?
จงมองดูสิ่งที่ใกล้ตัว จงมองดูสิ่งที่ห่างตัว แล้วลูกจะได้รับคำตอบ
http://www.sangthipnipparn.com
http://www.buddha-dhamma.com

วันอังคารที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2559

ทหารผี (สุดยอดตำนานทหารไทย)

ทหารผี (สุดยอดตำนานทหารไทย)

ทหารผี คือ สมญานามที่ทหารไทยได้รับ ในคราวที่ไปรบที่ เวียดนาม ใน”สงครามอินโดจีน”
       
                               
สงครามอินโดจีน (อังกฤษ: Indochina Wars, เวียดนาม: Chiến tranh Đông Dương) เป็นสงครามย่อยหลายสงครามที่เกิดขึ้นทางเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ตั้งแต่ปีค.ศ. 1947 จนถึง 1979 ระหว่างชาวเวียดนามชาตินิยมกับฝรั่งเศส อเมริกา และจีน คำว่า "อินโดจีน" เดิมทีจะหมายถึงอินโดจีนของฝรั่งเศส ซึ่งรวมทั้งรัฐปัจจุบันของเวียดนาม ลาว และกัมพูชา การใช้ในปัจจุบันส่วนใหญ่หมายถึงภูมิภาคทางภูมิศาสตร์มากกว่าพื้นที่ทางการเมือง สงครามแบ่งออกเป็นสงครามย่อย 4 สงคราม

ใน สงครามเวียตนาม
ผบ.ทหารเวียตนามเหนือได้ส่งใบปลิวนี้เพื่อเป็นคำเตือนต่อทหารเวียตนามเหนือ เองและฝ่ายพันธมิตรคือเวียตกงและเวียตมิน "ถ้าหากปะทะกับกองกำลังไม่ปรากฏฝ่ายให้พวกทหารพึงระลึกไว้ว่า

1.ถ้าปะทะกับศัตรูที่ยิงต่อสู้กับเราแล้วหยุดยิงเป็นระยะๆ และมีปืนใหญ่ยิงสนับสนุนมานั่นคือทหารอเมริกัน

2.ถ้าปะทะกับศัตรูที่ยิงต่อสู้กับเราแล้วหมอบหรือคลานต่ำนั่นคือทหารเวียตนามใต้

3.ถ้าปะทะกับศัตรูที่ยิงต่อสู้กับเราแล้วอยู่กับที่ไม่เคลื่อนไหวนั่นคือทหารลาว

4.ถ้า ปะทะกับศัตรูที่ยิงต่อสู้กับเราแล้วไม่มีปืนใหญ่หรือนกยักษ์(เครื่อง บิน)มาสนับสนุน ไม่รู้จักหยุดยิง ไม่รู้จักหมอบ ไม่รู้จักคลาน ไม่รู้จักถอย เอาแต่วิ่งเข้าใส่ บางรายยิงไม่ตาย บางรายยิงไม่เข้า จงระวังไว้นั่นคือ........ทหารไทย


                                       
บันทึกลึกลับ ตอน วีรชนนอกตำนาน ทหารผี 2
ออกอากาศ วันศุกร์ ที่ 11 ตุลาคม 2556
ท่ามกลางสมรภูมิสงครามเวียดนาม หน่วยรบจงอางศึก เป็นที่กล่าวขานไปทั่วสมรภูมิว่า ทหารไทยหน่วยนี้คือ นักรบทหารผี ที่เปี่ยมไปด้วยความกล้าหาญเด็ดเดี่ยว และฆ่าไม่ตาย ดังนั้น จึงทำให้ข้าศึกตัดสินใจส่งหน่วยรบพิเศษที่¬มีความโหดเหี้ยม หรือที่รู้จักกันดีว่า แซปเปอร์ ที่เมื่อถูกยิงก็ยังสามารถลุกขึ้นมาต่อสู้¬ได้ราวกับผี มาเพื่อจัดการกับทหารไทย ทำให้ทหารไทยเริ่มเสียขวัญ และเนื่องจากหน่วยแซปเปอร์มีจำนวนมาก ทำให้ทหารไทยหลายคนพลาดท่า จึงต้องถอยทัพกลับไปตั้งหลักก่อน ด้วยศักดิ์ศรีทหารไทย และหัวใจที่กล้าแกร่ง ของหน่วยรบจงอางศึก จะนำพาให้บ้านเมืองรอดพ้นจากสมรภูมิสงคราม¬เวียดนามในครั้งนี้ไปได้อย่างไร จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อหน่วยรบจงอางศึกของไทย ต้องเผชิญหน้ากับหน่วยแซปเปอร์อันเหี้ยมโห¬ด บันทึกหน้าสุดท้ายของ วีรชนนอกตำนาน นักรบทหารผี

ณ ฐานที่มั่นทหารเสือพรานของไทยแห่งหนึ่งที่เวียตนามใต้(จำชื่อฐานไม่ได้) ทหารเวียตนามเหนือพยายามตีฐานนี้หลายสิบครั้งแต่ก็ไม่แตก จึงส่งกองพันกล้าตายที่ 21 ให้มาตีซึ่งเป็นกองพันเดียวของทหารเวียตนามเหนือที่ไม่เคยพ่ายแพ้ต่อกอง กำลังใดๆทั้ง อเมริกันและเวีตนามใต้ และกองพันนี้ขึ้นชื่อที่สุดด้านความโหดร้ายและการทารุณเชลยโดยวิธีลูเรต (ใส่กระสุนหนึ่งนัดในลูกโม่แล้วผลัดกันยิง) จนเป็นที่กล่าวขานกันทั่ว

          เช้าวันหนึ่งอากาศแจ่มใส ทหารเวียตานามเหนือกองพันกล้าตายที่ 21 จำนวน 600 นาย ได้เข้าตีฐานที่มั่นทหารไทยโดยทหารไทยมิได้ตั้งตัว ทหารไทยมีกำลังเพียง 150 นาย เห็นได้ชัดว่าถูกรุมแบบ 5 ต่อ 1 ปะทะกันนานกว่า 1 ชั่วโมงทหารเวียตนามเหนือแตกพ่ายไป ผลจากการสู้รบฝ่ายข้าศึกตาย 453 ศพและบาดเจ็บสาหัสจนไม่สามารถหนีได้ 16 นาย ฝ่ายเราตายเพียง 1 ศพและบาดเจ็บเล็กน้อย 5 นาย การปะทะครั้งนี้เป็นที่กล่าวขวัญไปทั่ว จน ผบ.ทหารเวียตนามใต้และทหารอเมริกันประกาศทางวิทยุสดุดีวีรกรรมของทหารไทย ครั้งนี้ 1 อาทิตย์ต่อมาผู้บังคับกองพันกล้าตายที่ 21 ของเวียตนามยิงตัวตายในบังเกอร์เพื่อหนีความอับอาย ส่วนทางด้าน นายทหารเสือพรานไทยได้รับเหรียญกล้าหาญ 35 คน

เราคนรุ่นหลังขอน้อมคารวะทหารกล้าไทยที่ปกปัก รักษาแผ่นดินไทยให้เราอยู่ทุกวันนี้เรื่องราวเหล่าแด่ท่านผู้ชนะเหล่าชนเสือ พรานไทยนักรบชุดดำ



ทหารไทย ในยุคสงคราอินโดจีน ได้แสดงให้ทหารฝรั่งเห็นปาฏิหาริย์ ในหลายสมรภูมิ



ตัวอย่างหนึ่ง ผมขอคัดบทความจาก
 ... อ.วารุณี พิทักษ์สินากร หนังสือพิมพ์ เสรีชัย L.A. USA มาเล่าสู่กันฟัง นะครับ

อยู่ยง..คงกระพัน โดย อ.วารุณี พิทักษ์สินากร

เวทมนตร์..คาถา การปลุกเสก อยู่ยงคงกระพัน เครื่องลางของขลัง มีมานานพร้อมๆกับความเชื่อเก่าๆของผู้เฒ่าผู้แก่ สมัยนี้ยังมีอยู่มาก เรามาดูกันว่าเขาใช้วิธีใดที่ทำให้อำนาจพุทธคุณหรือเครื่องลางของขลังต่างๆ ทำงานได้ ใครที่ไม่เคยเชื่อเรื่องอย่างนี้ยอมรับได้แล้ว

เพราะในอดีต จากเวทมนตร์คาถา เครื่องรางของขลังเคยกู้ชาติปกป้องบ้านเมืองมาแล้วจากสงครามอินโดจีนที่ กล่าวไปแล้ว ขอให้เปิดใจรับอย่างมงายเหมือนกบในกะลาครอบ การรู้ไว้บางทีอาจป้องกันตัวเองได้บ้าง

พิธีปลุกเสกระดับเซียนจากสี่หลวงพ่อดัง ที่ทำให้ชนะศึกอินโดจีนนั้น เกิดอะไรขึ้นขณะทำพิธี...ฟังแล้วขนลุกไม่รู้ล้ม ทำให้เป็นที่กล่าวขานกันต่อมาอีกนาน

ในสมัยสงครามเกาหลี ทหารไทยที่พกพระพิมพ์ของหลวงพ่อแฉ่งไม่ว่าปางใด พิมพ์เล็กหรือใหญ่ ต่างอยู่ยงคงกระพันรอดตายกันมาทุกคน รวมทั้งบรรดาอัศวินแหวนเพชร หรือพวกนายตำรวจในยุคนั้นต่างก็มีพระนางพญาของหลวงพ่อแฉ่งกันถ้วนทั่ว

ยุคนั้นบรรดาอัศวินต่างมีชื่อเสียงมาก โจรผู้ร้าย ทั้งในเขตนครบาลหรือภูธรหัวหดเงียบกริบ กับถูกฆ่าตัดตอนเก็บกันระนาวจากบรรดาอัศวินแหวนเพชรทั้งหลาย เป็นยุคที่ตำรวจเฟื่องมากๆ

พิธีปลุกเสกระดับชาติได้ทำกันที่วัดบวรนิเวศน์วิหาร โดยเริ่มพิธีตั้งแต่อาทิตย์เริ่มอัสดง จนถึงรุ่งอรุณของวันใหม่ เป็นพิธีที่ใหญ่โตมโหราฬยิ่งกว่าการปลุกเสกครั้งใดๆ ท่ามกลางเหล่าทหารหาญที่คอยป้องกันอยู่รอบนอก ไม่ให้ผู้ใดรบกวนสมาธิของเกจิอาจารย์ทั้งสี่ ภายในห้ามออกภายนอกห้ามเข้ากันทีเดียว

ภายในตัววัดเมื่อพลบค่ำจึงมีแต่ความวิเวกวังเวงของบรรยากาศ ทำให้ทหารทุกคนทั้งรอบนอกรอบในวัดตื่นตัวกลัวกันตลอดคืน ก็ใครเล่าจะกล้าหลับตานอนได้ในบรรยากาศเช่นนั้น
เหตุการณ์ปกติไปเรื่อยจนย่างเข้ารุ่งอรุณของวันใหม่ทุกคนที่อยู่ในพิธีต่าง สะดุ้งกันสุดตัวแล้วพยายามระงับความตื่นเต้น ประหลาดใจกับอะไรที่เกิดขึ้น กับเก็บสุ้มเสียงกันไว้อย่างมิดชิด

มีรายการขนลุกขนพองเห่อชาขึ้นมาตามแขนขาไปจรดต้นคอกันถ้วนทั่วอย่างช่วยไม่ ได้ระงับไม่อยู่ ที่ท่ามกลางความเงียบสงัดปราศจากแม้เสียงแมลงกลางคืนที่เงียบมาตลอดคืนแล้ว จู่ๆเกิด มีเสียงกรี๊ดร้องอย่างโหยหวลทำลายความวังเวง มาจากทุกสารทิศที่..ไม่ใช่เสียงเดียวเพศเดียวแต่หลายเสียง มันดังก้องเข้าไปในจิตวิญญานของผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์

จากนั้นยังปรากฏร่างของวิญญาณ ที่มาทั้งในรูปผู้คน เงา มากมายนับไม่ได้เป็นร้อยเป็นพันบ้างเดินบ้างวิ่งบ้าง มีมาไม่ขาดสาย..ในบริเวณวัดพร้อมทั้งเสียงกรีดร้องนั้นยังดังอยู่อย่างต่อ เนื่อง กับยังปรากฏหมอกควันพวยพุ่งออกมารอบๆพระอุโบสถ ชวนให้พยานสายตาในที่นั้นหนาวเย็นวูบวาบไปถึงตับไตใส้พุงแม้จะเป็นเหล่าทหาร กล้าก็เถอะ

เหตุการณ์ที่เกิดระหว่างการปลุกเสกนี้เป็นที่ประจักษ์แก่สายตาทุกคนที่อยู่ บริเวณนั้น ให้เป็นที่โจษขานกันมาหลายยุคหลายสมัย คงไม่มีครั้งใดจะแรงและทรงพลานุภาพเท่าจวบจนยุคปัจุจบัน ไร้เทียมทานจริงๆ

การปลุกเสกใช้เวลา 12 ชั่วโมง โดยพระทั้งสี่รูปจะนั่งนิ่งอยู่ในท่าเดิมไม่ขยับเขยื้อนเป็นการรวมพลังจิต ให้มีอนุภาพที่แก่กล้าแล้วรวมเพ่งไปที่ผ้าประเจียดที่วางอยู่บนพานทอง เพื่อให้ได้ผลเต็มร้อย

หลังเสร็จพิธีหลวงพ่อทั้งสี่ จึงมอบผ้าประเจียดให้กับพลตรี หลวงเกรียงศักดิ์พิชิต เพื่อนำไปใช้ปกป้องทหารในสงครามต่อไป ก่อนนำออกแจกจ่าย ยังมีการทดลอง ความอยู่ยงคงกระพัน โดยการนำผ้าประเจียดไปลองยิงดู ซึ่งถ้าไม่ได้ผลหลวงพ่อทั้งสี่องค์ ท่านจะทำพิธีให้ใหม่ แต่ปรากฏว่างานแรกครั้งเดียวขลังทันใด..ใช้ได้ทันที

เครื่องลางของขลังจากการปลุกเสก ทำให้ทหารไทยชนะสงครามอินโดจีนกับถูกตราหน้าว่าเป็นทหารผี...อันนี้พิสูจน์ กันชัดๆอีกอย่างของคลื่นพลังจิตที่รวมกันเข้าจากเกจิอาจารย์ทั้งสี่

การผสมธาตุซึ่งจะประกอบเป็นเครื่องลางของขลังนั้น ต้องผสมให้ถูกต้องจึงจะใช้เป็นสื่อเพื่อบรรจุพลังปราณ(พลังจิต)ของผู้ปลุก เสกได้เต็มที่ หากธาตุผสมผิดส่วนพลังปราณจะลดหย่อนลง พลังนี้ท่านเปรียบเหมือนพลังแม่เหล็กไฟฟ้าซึ่งมีอยู่แล้วในทุกตัวคน

เราขอแนะนำให้ตรวจหาพลังนี้ได้เองจากการทำสมาธิ เมื่อเข้าถึงขั้นหนึ่งแล้วจะมีความรู้สึกว่ามีพลังบางอย่างวิ่งไปตามหน้าขา ไหล่แขน บางที่มาในรูปของความร้อนวิ่งไปทั่วร่าง ทางฮินดูเรียกว่า พลัง “คุณดาลินี” หรือพลังปราณนั่นเอง

หลักการใช้คลื่นหรือพลังจิตนี้ ผู้ที่จะทำเครื่องลางของขลังได้ต้องฝึกจิตจนถึงองค์ญาณสมาบัติเสียก่อน จิตจึงจะมีพลังงานแล้วสามารถรวบรวมพลังนี้บรรจุลงในสิ่งใดได้ พลังที่บรรจุนี้จะต้องแบ่งสายปราณให้ถูกต้องด้วยการใช้วิชาลึกลับอันเป็นต้น สูตร โดยเฉพาะเป็นแหล่งกำเหนิดให้เกิดพลังขึ้นได้อย่างหนึ่งเช่น ของขลังที่จะใช้เกี่ยวกับการป้องกันอันตรายใช้วิชา “เรยูกูระบัด”ประกอบกับวิชา “อิลละมู” หรือใช้วิชา “สังกะลัม” ประกอบกันสองอัน หรือจะใช้เพียงวิชาอิลละมู ประกอบเวทมนตร์ก็ได้ (ชื่อวิชาเหล่านี้เป็นของพวกโยคีสมัยเก่า) แต่ถ้าใครเรียนถึงวิชา เรยูกูระบัด หรือสังกะลัม เครื่องรางของขลังจะให้พลังงานสูง
ในสมัยสงครามอินโดจีน ในช่วงที่กำลังร้อนระอุ ทหารไทยถูกประนามว่า เป็นทหารผี...เพราะเหตุใดเรามาดูกัน กับใครอยู่เบื้องหลัง บทต่อจากนี้ ที่เกี่ยวข้องกันอย่างช่วยไม่ได้ คืออยู่ยง...คงกระพัน

ตอนนั้นทหารไทยมีหน้าที่ต้องบุกเข้ายึดเมืองศรีโสภณให้ได้ แต่ไม่ใช่ของง่ายเลยเพราะฝ่ายตรงข้าม คือทหารญวนกับทหารมอร็อคโคมีมากกว่า อุปกรณ์การฆ่าทันสมัยกว่าแน่นอนกำลังใจย่อมดีกว่า รวมถึงความจัดเจนในการเชือดการปาดคล่องตัวกว่าเรียกว่าเขี้ยวลากดินกันทุกคน เพราะเหตุนี้ ท.ทหารไทยจึงมองหาทางออก มองหาสิ่งที่อยู่เหนือธรรมชาติ คือความ..เหนียวแบบไร้เทียมทาน...หรืออยู่ยงคงกระพัน ดังนั้นวันบุกเข้าจู่โจมจึงเกิดเหตุการณ์ประหลาดขึ้น คือ

เมื่อวันที่ทหารไทยบุกเข้าศรีโสภนนั้น ทหารญวนกับมอร็อคโคต่างสาดกระสุนมาดุจห่าฝน แต่หาได้ระคายเคืองผิวทหารไทยอย่างไรไม่ ไม่ว่าจะยิง จะแทงฟันเชือด ปาด เด็ด ดึง..ทหารไทยอย่างไรก็ไม่มีผู้ใดเลือดตกออกมาสักหยด ทหารต่างชาติเหล่านั้นไม่เคยเชื่อหรือรับรู้ในเรื่องวิชาอาคมเวทมนตร์คาถา ตอนนั้นรู้อย่างเดียวว่า ทหารไทยฆ่าไม่ตาย กับที่เหลือตัวใครตัวมัน หมดกำลังใจที่จะต่อสู้ยึดพื้นที่เอาไว้ได้ เพราะถูกฆ่าอยู่ฝ่ายเดียว เห็นไพร่พลล้มตายเกลื่อน จึงพากันทิ้งเมืองเอาตัวรอด งานนี้ทหารญวนกับมอร็อคโคถูกจับได้อย่างมากมายพร้อมทั้งอาวุธปืนเป็นจำนวน มาก

ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นจากอนุภาพ ของผ้าประเจียด ที่สี่หลวงพ่อทำการปลุกให้ไปแจกทหารที่ออกรบ ข่าวการชนะศึก ของทหารไทย ข่าวการยิงไม่เข้าแทงไม่เข้าไม่ระคายเคืองผิว กับการอยู่ยงคงกระพันของเหล่าทหารกล้า ทำให้สี่เซียนดังไปเจ๊ดย่านน้ำ หลวงพ่อทั้งสี่ได้แก่


หลวงพ่อ ชวน (โอภาสี)
หลวงพ่อแฉ่ง แห่งวัดบางพังจ
หลวงพ่อจาด
และหลวงพ่อจง แห่งวัดหน้าต่างนอก

กล่าวกันว่า กรณีพิพาทกับอินโดจีนฝรั่งเศสครั้งนั้น รัฐบาลไทยได้นิมนต์หลวงพ่อทั้งสี่องค์นี้มาทำพิธีปลุกเสกผ้าประเจียด เพื่อแจกจ่ายกับทหารที่ออกรบทุกคน เพื่อเป็นการป้องกันตัวกับเรียกขวัญกำลังใจ พิธีปลุกเสกกระทำกันที่วัดบวรนิเวศน์วิหารโดยเริ่มพิธีตั้งแต่ตะวันตกดิน... แล้วปรากฏมีเหตุอาเภทอาถรรพ์เกิดขึ้นในวันทำพิธี


การส่งทหารไปร่วมรบในสงครามเวียดนาม 

            ในปี พ.ศ.๒๕๐๗ ประธานาธิบดี ตรันวันมินห์ แห่งเวียดนามใต้ได้ขอความช่วยเหลือจากรัฐบาลไทย โดยขอให้ฝึกหัดนักบินของกองทัพอากาศเวียดนามใต้ ที่ส่งเข้ามาฝึกในประเทศไทย ต่อมาในปี พ.ศ.๒๕๐๙ รัฐบาลเวียดนามใต้ได้ขอความช่วยเหลือทางทหารจากไทยเพิ่มเติม โดยขอให้จัดส่งเรือไปช่วยปฏิบัติการลำเลียง และเฝ้าตรวจบริเวณชายฝั่ง ป้องกันการแทรกซึมทางทะเลให้แก่ เวียดนามใต้ และในปีเดียวกัน ก็ได้ขอกำลังจากกองทัพบกไทย เพื่อช่วยยับยั้งการคุกคามของเวียดนามเหนือ นอกจากรัฐบาลไทยแล้วเวียดนามใต้ก็ได้ขอร้องทำนองเดียวกันไปยังประเทศฝ่ายโลกเสรีอื่น ๆ
            รัฐบาลไทยได้พิจารณาเห็นว่า รัฐบาลเวียดนามใต้ ได้รับการยอมรับจากสมัชชา แห่งสหประชาชาติแล้วว่า เป็นรัฐบาลที่ได้จัดตั้งขึ้นอย่างถูกต้อง ประเทศไทยจึงควรให้ความร่วมมือเพื่อป้องกัน และยับยั้งการรุกรานครั้งนี้ เพื่อผดุงและรักษาไว้ซึ่งสันติสุขของประชาชาติผู้รักสงบในภูมิภาคนี้ จึงรับหลักการให้ความช่วยเหลือทางทหารแก่ เวียดนามใต้ โดยให้กระทรวงกลาโหมรับผิดชอบดำเนินการ กระทรวงกลาโหมได้พิจารณาสนับสนุนตามลำดับดังนี้
            ขั้นต้น  ให้กองทัพอากาศทำการฝึกนักบินไอพ่นให้กับทหารอากาศเวียดนามใต้ ซึ่งเข้ามารับการฝึกในประเทศไทย ตั้งแต่กันยายน ๒๕๐๗ - กุมภาพันธ์ ๒๕๐๘ รวม ๗ รุ่น ๆ ละ ๔ คน รวม ๒๘ คน
            ขั้นที่สอง  ให้กองทัพอากาศส่งหน่วยบิน ประกอบด้วยนักบินเครื่องบินลำเลียง ๑๐ คน ช่างอากาศ ๖ คน ไปสนับสนุนกองทัพอากาศ เวียดนามใต้ ทำการบินลำเลียงด้วยเครื่องบินลำเลียงแบบ C - ๔๗ เมื่อกันยายน ๒๕๐๗ เรียกนามรหัสหน่วยนี้ว่าหน่วยบินวิคตอรี (Victory Wing Unit)
            ขั้นที่สาม  จัดตั้งกองบังคับการหน่วยช่วยเหลือทางทหารในสาธารณรัฐเวียดนามขึ้นในกรุงไซ่ง่อน เมื่อพฤศจิกายน ๒๕๐๘ เพื่อควบคุมการปฏิบัติงานของหน่วยบินวิคตอรี ร่วมกับฝูงบินลำเลียงที่ ๔๑๕ เวียดนามใต้
            ในปี พ.ศ.๒๕๐๙ รัฐบาลเวียดนามใต้ขอร้องรัฐบาลไทย ให้ช่วยเหลือทางกำลังทหารเรือ ฝ่ายไทยจึงได้ส่งเรือจากกองทัพเรือไปช่วย โดยได้ส่งเรือหลวงพงัน ซึ่งเป็นเรือยกพลขึ้นบกขนาดใหญ่ และเรือ ต.๑๒ ซึ่งเป็นเรือตรวจการณ์ใกล้ฝั่งไปร่วมปฏิบัติการใน เวียดนามใต้ โดยขึ้นสมทบกับหน่วยบริการทางทะเล ทางทหารสหรัฐฯ ประจำกรุงไซ่ง่อน และกองเรือเฉพาะกิจที่ ๑๑๕ ตามลำดับ เรียกนามรหัสว่า ซีฮอร์ส (Sea Horse Task Element)
            รัฐบาลเวียดนามใต้ได้ขอความช่วยเหลือทางทหารจากไทยเพิ่มเติมอีก ดังนั้นในเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๑๐ คณะรัฐมนตรีจึงมีมติให้กระทรวงกลาโหม จัดกำลังรบภาคพื้นดินในอัตรากรมทหารอาสาสมัคร ไปปฏิบัติการใน เวียดนามใต้ ภายหลังได้รับนามรหัสว่า จงอางศึก (Queen's Cobra Unit) นับเป็นกองกำลังหน่วยแรกของกองทัพบกที่ปฏิบัติการรบในสงครามเวียดนาม ต่อมาเมื่อพฤษภาคม  ๒๕๑๐ ก็ได้เพิ่มกำลังจากขนาดกรมเป็นกองพลในชื่อเดิม คือ กองพลทหารอาสาสมัคร จากนั้นก็ได้ปรับปรุงกองบังคับการหน่วยช่วยเหลือทางทหาร ในสาธารณรัฐเวียดนาม เป็นกองบัญชาการกองกำลังทหารไทย ในสาธารณรัฐ เวียดนาม คำย่อว่า  บก.กกล. ไทย/วน. เป็นหน่วยขึ้นตรงกองบัญชาการทหารสูงสุด
กองบัญชาการกองกำลังทหารไทยในสาธารณรัฐเวียดนาม ผลัดที่ ๑
            จัดตั้งขึ้นเมื่อ ๒๘ มิถุนายน ๒๕๑๐ โดยมี พลตรี ยศ  เทพหัสดินทร์ ณ อยุธยา เป็นผู้บัญชาการ มีที่ตั้งชั่วคราวอยู่ที่กองบัญชาการทหารสูงสุดส่วนหน้า เชิงสะพานเกษะโกมล ถนนอำนวยสงคราม กรุงเทพ ฯ
            กำลังพลในกองบัญชาการกองกำลังทหารไทย ฯ ผลัดที่ ๑ ออกเดินทางตั้งแต่เดือนกรกฎาคม ถึงเดือนสิงหาคม ๒๕๑๐ จึงเข้าที่ตั้งเสร็จ ได้ปฏิบัตหน้าที่ตามภารกิจได้ครบถ้วน สมบูรณ์ตามที่ได้รับมอบหมายทุกประการ ตามสายการบังคับบัญชาของชาติ ซึ่งประกอบไปด้วย กองบัญชาการกองกำลังทหารไทย กรมทหารอาสาสมัคร หน่วยเรือซีฮอร์ส และหน่วยบินวิคตอรี
            เมื่อครบกำหนด ๑ ปี และเมื่อกองบัญชาการกองกำลังทหารไทย ฯ ผลัดที่ ๒ เดินทางไปรับหน้าที่ เมื่อ ๒๕ กรกฎาคม ๒๕๑๑ แล้ว ก็เดินทางกลับประเทศไทยเป็นส่วน ๆ โดยเครื่องบินลำเลียงของสหรัฐฯ ดำเนินกรรมวิธีส่งกำลังพลคืนต้นสังกัด จนแล้วเสร็จเมื่อ ๑๕ กันยายน ๒๕๑๑
กองบัญชาการกองกำลังทหารไทยฯ ผลัดที่ ๒ - ๕
http://thaiheritage.net/nation/military/vietnam/vitnan05.jpg
            ผลัดที่ ๒  พลโท ฉลาด  หิรัญศิริ  เป็นผู้บัญชาการ แบ่งการเดินทางโดยเครื่องบินลำเลียงของกองทัพอากาศสหรัฐฯ เสร็จสิ้นเมื่อ ๑๕ กรกฎาคม ๒๕๑๑
            นอกจากปฏิบัติการตามภารกิจที่ได้รับมอบหมายแล้ว ยังได้ทำการช่วยเหลือประชาชน โดยจัดชุดแพทย์ ทันตแพทย์ และเจ้าหน้าที่ผลัดกันออกไปปฏิบัติงานร่วมกับเจ้าหน้าที่รัฐบาลเวียดนามใต้ ณ สถานพยาบาลตูดึ๊ก จังหวัดยาดินห์ เป็นประจำทุกวัน เพื่อให้บริการทางการแพทย์แก่ประชาชนอีกด้วย
            เมื่อปฏิบัติหน้าที่ครบ ๑ ปี และผลัดที่ ๓  มารับหน้าที่แล้ว จึงเดินทางกลับโดยแบ่งออกเป็น ๔ ส่วน คือส่วนที่ ๑ จำนวน ๘๙ คน  ส่วนที่ ๒ จำนวน ๖๐ คน  ส่วนที่ ๓ จำนวน ๖๐ คน  ส่วนที่ ๔ จำนวน ๑๘ คน  เดินทางโดยเครื่องบินกลับถึงประเทศไทยเสร็จสิ้นเมื่อ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๑๒
            ผลัดที่ ๓  พลโท เชวง  ยังเจริญ  เป็นผู้บัญชาการ การเดินทางไปแบ่งออกเป็น ๔ ส่วน เดินทางโดยเครื่องบินเสร็จสิ้นเมื่อ ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๑๓ การปฏิบัติการตามภารกิจที่ได้รับมอบคงเป็นเช่นเดียวกับผลัดที่ ๒  เมื่อปฏิบัติการครบกำหนด ๑ ปี และผลัดที่ ๔ ไปรับหน้าที่แล้วจึงเดินทางกลับ โดยแบ่งออกเป็น ๓ ส่วน เดินทางโดยเครื่องบิน เสร็จสิ้นเมื่อ ๒๑ กรกฎาคม ๒๕๑๓
            ผลัดที่ ๔  พลโท เสริม  ณ นคร  เป็นผู้บัญชาการ การเดินทางไปแบ่งเป็น ๔ ส่วน เดินทางโดยเครื่องบิน เสร็จสิ้นเมื่อ ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๑๓ การปฏิบัติการตามภารกิจที่ได้รับมอบคงเป็นเช่นเดียวกับผลัดที่ ๓  เมื่อปฏิบัติการครบ ๑ ปี และผลัดที่ ๕ มารับหน้าที่แล้วจึงเดินทางกลับ โดยแบ่งเป็น ๔ ส่วน เดินทางโดยเครื่องบินเสร็จสิ้นเมื่อ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๑๔
            ผลัดที่ ๕  พลตรี ทวิช  บุญญาวัฒน์  เป็นผู้บัญชาการ การเดินทางไปแบ่งออกเป็น ๒ ส่วน เดินทางโดยเครื่องบินเสร็จสิ้นเมื่อ ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๑๔
            ในปลายปี พ.ศ.๒๕๑๓ รัฐบาลไทยเริ่มดำริที่จะถอนกำลังทหารไทย ในเวียดนามใต้กลับประเทศไทย ได้มีการปรึกษาหารือ กับ กองบัญชาการทหารสูงสุดเวียดนามใต้ และรัฐบาลเวียดนามใต้ จนได้ข้อยุติในการถอนกำลังกลับ โดยแบ่งออกเป็น ๒ ส่วน ส่วนแรกเริ่มถอนในเดือนกรกฎาคม ๒๕๑๔ ส่วนที่เหลือในเดือนกันยายน ๒๕๑๕ สำหรับหน่วยเรือซีฮอร์ส เรือ ต.๑๒ จะกลับในเดือนพฤษภาคม ๒๕๑๔ เรือหลวงพงันจะกลับในเดือนเมษายน ๒๕๑๕ ส่วนหน่วยบินวิคตอรี จะถอนกำลังกลับหมดในเดือนธันวาคม ๒๕๑๔ กองบัญชาการทหารไทยฯ ผลัดที่ ๕ จะไปปฏิบัติการเพื่อควบคุมการถอนกำลังทหารไทยกลับ อยู่จนถึงเดือนเมษายน ๒๕๑๕ หลังจากนั้นรัฐบาลไทยจะส่งหน่วยขนาดเล็กที่จะเป็นสัญลักษณ์แห่งความร่วมมือกับฝ่ายโลกเสรี ประจำในเวียดนามใต้ต่อไป
            การถอนกำลังกลับประเทศไทย ส่วนใหญ่เดินทางโดยเครื่องบินลำเลียงแบบ C -๑๓๐ ของสหรัฐฯ  ส่วนสิ่งของส่งไปกับเรือหลวงพงัน โดยแบ่งการเดินทางเป็น ๓ ส่วน เสร็จสิ้นเมื่อ ๑๕ พฤษภาคม ๒๕๑๕
สำนักงานผู้แทนทหารไทยในสาธารณรัฐเวียดนาม
            เมื่อกองบัญชาการกองกำลังทหารไทย ฯ และกองกำลังทหารไทยทั้งหมด ต้องถอนกำลังกลับประเทศไทยในกลางเดือนพฤษภาคม ๒๕๑๕ กองบัญชาการทหารสูงสุดส่วนหน้า จึงได้ตั้งสำนักงานผู้แทนทหารไทยในสาธารณรัฐเวียดนาม(สน.ผทท.ไทย วน.) ขึ้น มีกำลังพล ๓๘ คน มีพันเอก ชูวิทย์  ช.สรพงษ์  เป็นหัวหน้าสำนักงาน เดินทางไปปฏิบัติงานเมื่อ ๑ พฤษภาคม ๒๕๑๕ และรับมอบหน้าที่ในการติดต่อประสานงานกับกองกำลังฝ่ายโลกเสรี ที่ยังคงอยู่ในเวียดนามใต้
            เมื่อปฏิบัติได้เกือบครบ ๑ ปี สถานการณ์ในเวียดนามใต้ เข้าสู่สภาพคับขันยิ่งขึ้น กองบัญชาการทหารสูงสุด จึงได้มีคำสั่งให้ปิดสำนักงานนี้ แล้วส่งมอบงานการติดต่อประสานงานต่าง ๆ ให้กับสำนักงานผู้ช่วยทูตทหารไทย ประจำสถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงไซ่ง่อน และให้กำลังพลเดินทางกลับประเทศไทยเมื่อ ๒ มีนาคม ๒๕๑๖ เป็นการยุติการปฏิบัติการรบของทหารไทยในเวียดนามใต้ตั้งแต่นั้นมา
กรมทหารอาสาสมัคร(กรม อสส.)
http://thaiheritage.net/nation/military/vietnam/vitnan06.jpg
           กองทัพบกรับผิดชอบดำเนินการจัดกำลังทางบก ได้ทำการเรียกพลจากผู้ที่มาสมัครและรับสมัครทหารกองหนุน และทหารกองเกิน โดยให้มณฑลทหารบก จังหวัดทหารบก รวมทั้งกรมทหารราบที่๒๑ รักษาพระองค์ เป็นหน่วยรับสมัคร มีผู้มาสมัครเป็นจำนวนมาก
           กองทัพบกได้มีคำสั่งแต่งตั้ง พันเอก สนั่น  ยุทธสารประสิทธิ์  เป็นผู้บังคับการกรมทหารอาสาสมัครและใช้อาคารกองพันทหารปืนใหญ่ ที่ ๒๑ รักษาพระองค์ เป็นที่ตั้งกองบังคับการกรมทหารอาสาสมัครมีกำลังทั้งสิ้น ๒,๒๐๗ คน และกำลังทดแทนร้อยละ ๕ เมื่อได้ทำการฝึกเสร็จในเดือนกรกฎาคม๒๕๑๐ แล้วก็ได้เริ่มออกเดินทางเป็นส่วน ๆ ส่วนล่วงหน้าเดินทางเมื่อ ๑๐ สิงหาคม๒๕๑๐ และส่วนสุดท้ายเดินทางเมื่อ ๑๙ ตุลาคม ๒๕๑๐ กำลังส่วนใหญ่เดินทางโดยเรือ
           กรมอาสาสมัครได้รับคำสั่งให้เป็นหน่วยขึ้นตรงกองพลทหารราบที่ ๙ สหรัฐฯ ตั้งอยู่ที่ค่ายแบร์แคตอำเภอลองถั่น จังหวัดเบียนหว่า อยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ของกรุงไซ่ง่อนห่างออกไปประมาณ ๔๐ กิโลเมตร ได้รับมอบภารกิจในการตั้งรับ แบบยึดพื้นที่ด้านตะวันออกและด้านใต้ของอำเภอโนนทรัค เพื่อเสริมที่มั่นให้แก่พื้นที่ส่วนหนึ่งของพื้นที่สนใจทางยุทธวิธี(Tactical Area of Interest) ของกองพลทหารราบที่ ๙ สหรัฐฯ ด้วยการปฏิบัติการลาดตระเวนพื้นที่และเส้นทางอย่างกว้างขวางการซุ่มโจมตี การทำลายเป้าหมายอย่างฉับพลัน และการยุทธส่งทางอากาศเพื่อทำลายกำลังและที่ตั้งของพวกเวียดกง ช่วยเหลือหน่วยทหารเวียดนามใต้ในการระวังป้องกันพื้นที่ตั้งและเส้นทางคมนาคม ตลอดจนสนับสนุนโครงการพัฒนาพื้นที่ในเขตรับผิดชอบปฏิบัติการช่วยเหลือประชาชน และปฏิบัติการจิตวิทยา
พื้นที่ปฏิบัติการ(Area of Operation - AO)
           กรมทหารอาสาสมัครได้รับมอบพื้นที่ปฏิบัติการ (Area of operation - AO) ในบริเวณอำเภอโนนทรัคและอำเภอลองถั่น จังหวัดเบียนหว่า บนฝั่งขวาของแม่น้ำดองไน ลักษณะภูมิประเทศส่วนใหญ่เป็นป่าละเมาะและสวนยางพื้นที่เป็นที่ราบลุ่ม มีลำน้ำเล็ก ๆ หลายสายไหลลงสู่แม่น้ำดองไน ผ่านเข้าไปในพื้นที่ปฏิบัติการพื้นที่บริเวณนี้ฝ่ายเวียดกงได้ใช้เป็นเส้นทางลำเลียงอาวุธยุทธภัณฑ์ และเสบียงอาหารจากชายฝั่งทะเลไปยังพื้นที่ปฏิบัติการทางสหรัฐฯเคยส่งกองพันทหารราบ เข้ายึดพื้นที่บริเวณนี้มาแล้วครั้งหนึ่ง ทหารในกองพันถูกเวียดกงสังหารเสียชีวิตหมดทั้งกองพันจนไม่มีทหารฝ่ายโลกเสรีชาติใดกล้าเข้าไปตั้งอยู่ในพื้นที่แห่งนี้
แผนการยุทธและการปฏิบัติการ
http://thaiheritage.net/nation/military/vietnam/vitnan07.jpg
           กรมทหารอาสาสมัครได้เริ่มแผนการยุทธขึ้นใช้ชื่อว่า แผนยุทธการนเรศวรและได้แบ่งออกเป็นแผนย่อยอีก ๑๘ แผน ให้ชื่อต่างๆ ไว้ทุกแผน ได้วางกำลังตามอัตราการจัดส่วนใหญ่ไว้ที่บังคับการกรมในค่ายแบร์แคตเมื่อมีเหตุการณ์รบเกิดขึ้น จึงจัดกำลังใหม่ให้เหมาะสมแก่การตอบโต้กับข้าศึกในแต่ละครั้งแล้วเคลื่อนกำลังไปวางยังจุดที่มีเหตุการณ์เกิดขึ้น
          ระหว่าง ๕ กันยายน - ๙ ตุลาคม ๒๕๑๐ กรมทหารอาสาสมัคร ได้รับมอบภารกิจให้ป้องกันค่ายแบร์แคตจากการถูกเวียดกงโจมตีจึงได้ส่งหน่วยลาดตระเวนออกค้นหาและทำลายเวียดกงในพื้นที่ทางตอนเหนือของค่ายซึ่งเป็นสวนยางอันเวียง กรมอาสาสมัครใช้แผนยุทธการบางแสนโดยตั้งฐานกองร้อยแล้วส่งกำลังขนาดหมวดออกลาดตระเวน และซุ่มโจมตีข้าศึก สามารถค้นหาและทำลายที่กำบังปิด(Bunker) และทุ่นระเบิด ได้เป็นจำนวนมาก
          ๑๐ - ๑๕ ตุลาคม ๒๕๑๐ กรมทหารอาสาสมัคร ได้รับมอบภารกิจในการลาดตระเวนค้นหาและกวาดล้างข้าศึกในพื้นที่บริเวณหมู่บ้านอันเวียงซึ่งเป็นที่ลุ่มมีลำน้ำหลายสายไหลผ่าน เต็มไปด้วยป่าละเมาะรกทึบ พื้นที่บริเวณนี้ทหารไทยเราเรียกกันว่าทุ่งทองกรมทหารอาสาได้กำหนดแผนยุทธการลาดหญ้าสำหรับการเคลื่อนย้ายกำลังทางอากาศเพื่อสนับสนุนกำลังทางพื้นดิน เนื่องจากพื้นที่นั้นอยู่ไกลเกินระยะยิงของปืนใหญ่เบากระสุนวิถีโค้งขนาด ๑๐๕ มิลลิเมตร ของกองร้อยปืนใหญ่สนาม ผลการปฏิบัติทำให้เวียดกงต้องถอนตัวออกไปจากทุ่งทอง
          ๒๐ - ๓๑ ตุลาคม ๒๕๑๐ กรมทหารอาสาสมัคร ได้รับมอบภารกิจให้เสริมสร้างความมั่นคงในเขต อำเภอโนนทรัคซึ่งมีเวียดกงปฏิบัติการกระจายอยู่ทั่วไป จึงกำหนดแผนยุทธการนเรศวรขึ้น จึงวางกำลังกระจายเต็มพื้นที่ซึ่งอยู่ในอิทธิพลของเวียดกง ปฏิบัติการจิตวิทยาพร้อมไปกับการกวาดล้างเวียดกงได้มีการปะทะกับเวียดกงหลายแห่ง และหลายครั้ง ยึดอาวุธกระสุน และทำลายที่กำบังปิดได้หลายแห่ง
          พฤศจิกายน ๒๕๑๐ กรมทหารอาสาสมัคร ได้รับมอบภารกิจให้ขยายพื้นที่ปฏิบัติการออกไปอย่างกว้างขวางการรบทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น ฝ่ายเราสามารถทำลายที่ตั้งฐานปฏิบัติการ ที่ซ่อนอาวุธและเสบียงอาหารของเวียดกงได้เป็นจำนวนมาก
          ธันวาคม ๒๕๑๐ การปฏิบัติการคงเป็นไปตามแผนนเรศวร ผลการปฏิบัติปรากฏว่าฝ่ายเวียดกงต้องตกเป็นฝ่ายตั้งรับตลอดเวลาและสูญเสียอิทธิพลที่เคยมีอยู่เหนือประชาชนในพื้นที่
           ฐานปฏิบัติการที่กำลังทหารไทยตั้งอยู่ มีสภาพแวดล้อมที่เกื้อกูล และทั้งไม่เกื้อกูลในบางประการแก่ทั้งสองฝ่ายฝ่ายเวียดกงจะส่งหน่วยทหารช่างสังหาร(Sapper)  ขนาดหมวด เข้าไปก่อวินาศกรรมฐานที่ตั้งของไทยโดยอาศัยความรกทึบของป่าเป็นที่หลบซ่อนกำบังตัว กรมทหารอาสาสมัครจึงเตรียมการป้องกันโดยถากถางป่ารอบๆ ฐานที่ตั้งทุกแห่งไม่ให้เวียดกงใช้ประโยชน์ได้  และเป็นประโยชน์ต่อการตรวจการณ์และพื้นที่การยิงของฝ่ายเรา เป็นการปฏิบัติตามแผนสมเกียรติได้มีการปิดล้อม และตรวจค้น หมู่บ้านฟุกโถ ๑ ครั้ง หมู่บ้านบาบอง ๑ ครั้งเพื่อค้นหา และทำลายกำลังกองโจรและกำลังหลักของเวียดกง โดยมีกำลังตำรวจเวียดนามใต้เข้าร่วมปฏิบัติการด้วย
การปฏิบัติการรบที่ฟุกโถ(๒๐ - ๒๑ ธันวาคม ๒๕๑๐)
http://thaiheritage.net/nation/military/vietnam/vitnan08.jpg
           พื้นที่บริเวณบ้านฟุกโถ ส่วนใหญ่เป็นที่ลุ่มน้ำท่วมขัง เมื่อน้ำลดจะกลายเป็นโคลนสภาพทั่วไปเป็นทุ่งนา ป่า สวน แม่น้ำ ลำคลอง มีหญ้าคาขึ้นสูงท่วมศีรษะ ป่าส่วนมากเป็นป่าละเมาะป่าไผ่ ป่าชายเลน สวนยาง และสวนมะม่วงหิมพานต์  ชาวบ้านส่วนใหญ่เป็นคนชราสตรีมีครรภ์ และเด็ก ซึ่งเป็นฝ่ายเวียดนามใต้ แต่ชายฉกรรจ์ทุกคน ถูกเวียดกงบีบบังคับให้เป็นผู้ส่งเสบียงให้เวียดกงซึ่งจำใจต้องทำเพื่อความอยู่รอดของครอบครัว ต้องไปหลบซ่อนตัวอยู่ตามป่าตามเขาไม่ปรากฏตัวออกมาให้เห็น เมื่อถึงฤดูเก็บเกี่ยวกองร้อยอาวุธเบาของไทยที่อยู่ในพื้นที่ต้องส่งกำลัง๑ หมู่ออกไปช่วยเก็บเกี่ยว และให้ความคุ้มครองชาวบ้านเหล่านี้
           ฐานที่ตั้งกองร้อยอาวุธเบาที่ ๑ คร่อมทับอยู่บนถนนสาย ๓๑๙ ทางทิศใต้ของหมู่บ้านฟุกโถวางแนวที่มั่นตั้งรับเป็นวงกลม เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ ๓๐๐ เมตร มีคูติดต่อถึงกันรั้วใช้ลวดหนามหีบเพลงเป็นเครื่องกีดขวางตลอดแนวที่มั่น ฝ่ายเราได้ดำรงการเกาะเวียดกงตลอดเวลาทั้งการตรวจการณ์และการลาดตระเวน ด้วยการออกไปลาดตระเวนและซุ่มโจมตี หมุนเวียนกันทั้งกลางวันและกลางคืน ผลัดกลางวันเรียกว่า ชุดซุ่มโจมตี(Ambush) ผลัดกลางคืนเรียกว่า ชุดเฝ้าตรวจ(Watching)
           ในคืนวันที่ ๑๘ ธันวาคม ๒๕๑๐ เวลา ๒๒ .๑๐ น. เวียดกงได้เริ่มระดมยิงฐานกองร้อยด้วยเครื่องยิงลูกระเบิดขนาด ๘๒ มิลลิเมตร อย่างรุนแรง เวียดกงได้ใช้กำลังขนาดใหญ่บุกเข้าโจมตีกองร้อยอาวุธเบาที่๑ ถึงสามด้านพร้อมกัน เวียดกงได้ระดมกันเข้าทำลายรั้วลวดหนามหีบเพลง และสามารถตีเจาะเข้าไปในหมวดปืนเล็กที่๑ ได้เป็นส่วนใหญ่ แต่ถูกยิงตายเป็นจำนวนมากเวียดกงไม่สามารถเจาะเข้าไปถึงที่บังคับการกองร้อยได้ ด้านหมวดปืนเล็กที่๒ เวียดกงได้ส่งกำลังบุกเข้าโจมตีเต็มกว้างด้านหน้าเป็นหลายระลอกระลอกแรกใช้ระเบิดขว้างทำลายลวดหนาม แต่เจาะแนวเข้ามาไม่ได้ มีกำลังบางส่วนบุกเข้าตรงรอยต่อระหว่างหมวดแล้วใช้ทุ่นระเบิดวงเดือนทำลายรั้วลวดหนาม สามารถเจาะผ่านแนวรั้วลวดหนาม และผ่านคูติดต่อเข้าไปจึงเกิดการรบขั้นตะลุมบอน แนวรั้วลวดหนามบางแห่งเวียดกงใช้ไม้กระดานพาดแล้วปีนข้ามไปแต่เนื่องจากพวกเวียดกงไม่คุ้นกับสภาพของฐานที่มั่นของไทย จึงเหยียบถูกลูกระเบิดและสะดุดกับพลุส่องแสงที่วางไว้รอบฐาน ระหว่างนั้นเครื่องบินสปุ๊คกี้(Spooky)ก็ได้ไปทิ้งพลุส่องสว่าง ปืนใหญ่ของกรมทหารอาสาสมัครได้ช่วยยิงกระสุนส่องแสงทำให้บริเวณฐานที่ตั้งสว่างไสวไปทั่ว ฝ่ายเราจึงมองเห็นฝ่ายเวียดกงได้ชัดเจนจึงเป็นฝ่ายได้เปรียบสามารถสังหารเวียดกงได้เป็นจำนวนมาก ข้าศึกส่วนใหญ่ติดอยู่ที่คูติดต่อไม่สามารถเจาะผ่านเข้าไปได้ด้านหมวดปืนเล็กที่ ๓ การต่อสู้เป็นไปอย่างรุนแรงจนเที่ยงคืน ข้าศึกจึงถอยกลับไปแล้วก็กลับรวมกำลังเข้าโจมตีอีก แต่ไม่สามารถผ่านแนวต้านทานเข้าไปได้
           การต่อสู้ดำเนินไปเป็นเวลาเกือบ ๕ ชั่วโมง เมื่อถึงเวลา ๐๓.๐๐ น. ข้าศึกจึงเริ่มถอนตัวออกจากแนวต้านทานของหมวดปืนเล็กต่างๆ ของไทย ต่อมาเมื่อเวลา ๐๔.๐๐ น. เมื่อการยิงของพวกเวียดกงเบาบางลงผู้บังคับกองร้อยจึงส่งกองหนุนบรรทุกรถสายพานลำเลียงพล๒ คัน ออกปฏิบัติทางด้านเข้าตีหลักของเวียดกง และขอให้ปืนใหญ่เลื่อนฉากการยิงออกไปเพื่อทำลายกำลังและสกัดกั้นการถอนตัวของเวียดกง การรบยุติลงเมื่อเวลา ๐๕๓๐น.
           ผลการรบฝ่ายเราเสียชีวิต ๖ คน บาดเจ็บสาหัส ๙ คน ฝ่ายเวียดกงเสียชีวิตนับศพได้๙๕ ศพ เสียชีวิตแต่นำศพกลับไปได้ ๙๐ ศพ (ตามคำให้การของเชลยศึก) บาดเจ็บ ๘๐คน ถูกจับเป็นเชลย ๒ คน ยึดอาวุธฝ่ายเวียดกงได้เป็นจำนวนมาก
           การรบที่ฟุกโถ  นับเป็นการรบที่กรมทหารอาสาสมัครของไทยประสบชัยชนะอย่างเด็ดขาดถือได้ว่าเป็นวันแห่งชัยชนะของไทย ในสมรภูมิต่างแดน และยังผลในการสร้างขวัญกำลังใจแก่ทหารเวียดนามใต้เป็นอันมาก
           กรมทหารอาสาสมัครของไทยได้รับคำชมเชยจากพลเอกเวสท์มอร์แลนด์  ผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการช่วยเหลือทางทหารสหรัฐฯประจำเวียดนามใต้ และพลเอกเถาวันเวียน ประธานคณะเสนาธิการผสม กองทัพเวียดนามใต้
คำชมเชยที่ได้รับของกรมทหารอาสาสมัคร
           การปฏิบัติการของกรมทหารอาสาสมัคร ที่รู้จักกันดีในฉายาจงอางศึก ตลอดระยะเวลา๑ ปี ในสมรภูมิเวียดนาม เป็นที่ชื่นชมและได้รับคำยกย่องสรรเสริญจากหน่วยเหนือและบรรดากองกำลังชาติพันธมิตรฝ่ายโลกเสรีเป็นอันมาก  นอกจากนี้กองทัพบกสหรัฐฯยังได้มอบเกียรติบัตรชมเชยการปฏิบัติการเป็นหน่วย (Award of the MeritoriousUnit Commendation) แก่กรมทหารอาสาสมัครเมื่อ วันที่ ๙ สิงหาคม ๒๕๑๑

กองพลทหารอาสาสมัคร(พล.อสส.)
http://thaiheritage.net/nation/military/vietnam/vitnan09.jpg
           กองทัพบกได้ออกคำสั่งจัดตั้งกองพลทหารอาสาสมัคร เมื่อวันที่ ๑๔ มกราคม ๒๕๑๑จำนวนกำลังพลทั้งสิ้น ๑๑,๓๐๐ คน ที่ตั้งปกติอยู่ที่ค่ายกาญจนบุรีตำบลลาดหญ้า อำเภอเมือง ฯ จังหวัดกาญจนบุรี โดยมีศูนย์ดำเนินกรรมวิธีทหารไปรบต่างประเทศ(ศกน.) กรมยุทธศึกษาทหารบก เป็นหน่วยให้การสนับสนุนในด้านธุรการ และส่งกำลังบำรุงกับมีเจ้าหน้าที่ประสานงานของสหรัฐฯ (Detachment I) เป็นที่ปรึกษา โดยบรรจุมอบเป็นหน่วยขึ้นตรงกองทัพบกแต่ฝากการบังคับบัญชาไว้กับกรมยุทธศึกษาทหารบก กำลังของกองพลทหารอาสาสมัครแบ่งเป็นผลัดๆ ละ ๑ ปี
กองพลทหารอาสาสมัครผลัดที่ ๑
           จัดตั้งเมื่อ ๒๒ มกราคม ๒๕๑๑ มีพลตรี ทวี ดำรงหัด เป็นผู้บัญชาการกองพล แบ่งออกเป็น๒ ผลัด เคลื่อนย้ายเข้าที่ตั้งปกติ ในค่ายกาญจนบุรีในวันที่ ๑๖ เมษายน ๒๕๑๑
           การฝึก แบ่งออกเป็น ๓ ตอน ใช้เวลา ๒๕ สัปดาห์ เมื่อฝึกเสร็จแล้วทุกฐานกำเนิดส่งกำลังพลเข้ารวมพลที่ค่ายกาญจนบุรีเพื่อรับการฝึกหลักขั้นการฝึกเป็นกองร้อยต่อไป
           การเดินทาง แบ่งออกเป็น ๔ ส่วนคือ ส่วนเตรียมการ ส่วนล่วงหน้าส่วนใหญ่ และส่วนหลัง การเดินทางไปเสร็จสิ้นเมื่อ ๓๐ สิงหาคม ๒๕๑๑ และเข้าที่ตั้งที่ค่ายมาตินค๊อกซ์(Camp Matincox)  ซึ่งเรียกกันทั่วไปว่าค่ายแบร์แคต (Camp Bear Cat) ในเขตอำเภอลองถั่น จังหวัดเบียนหว่า ค่ายนี้มีพื้นที่ประมาณ ๙ ตารางกิโลเมตร กองพลทหารอาสาสมัคร ผลัดที่ ๑ ขึ้นอยู่ในบังคับบัญชาของกองกำลังทหารไทย ในสาธารณรัฐเวียดนามและขึ้นในความควบคุมทางยุทธการของกองทัพสนามที่ ๒ สหรัฐฯ (US II Field ForceVietnam)  ซึ่งรับผิดชอบร่วมกับกองทัพน้อยที่ ๓ เวียดนามใต้ ในการป้องกันเขตรับผิดชอบทางยุทธวิธีของกองทัพน้อยที่๓ (III Corps Tactical Zone)
ภารกิจ
           กองทัพสนามที่ ๒ สหรัฐฯ  ได้มอบกิจเฉพาะให้กองพลทหารอาสาสมัคร ผลัดที่๑ เฉพาะที่สำคัญดังนี้
               ๑.  ปฏิบัติการทางยุทธวิธีเพื่อค้นหา ทำลายกำลัง และยุทโธปกรณ์ของเวียดกงกองทัพประจำการของเวียดนามเหนือ และกำลังกองโจรประจำถิ่น ในพื้นที่รับผิดชอบทางยุทธวิธีด้วยการลาดตระเวนระยะไกล และการลาดตระเวนด้วยกำลังมากในพื้นที่รับผิดชอบ การปิดล้อมและตรวจค้นหมู่บ้านการซุ่มโจมตีเป็นตำบลและพื้นที่ กับการรบร่วมกับกองกำลังชาติพันธมิตร
               ๒.  ปฏิบัติการจิตวิทยาเพื่อการสนับสนุนและการปฏิบัติการทาวยุทธวิธีโครงการพัฒนาชนบท และโครงการต้อนรับผู้กลับใจ ปฏิบัติการช่วยเหลือประชาชนการให้การรักษาพยาบาล
               ๓.  ป้องกันและรักษาเส้นทางคมนาคม สะพาน และที่ตั้งสำคัญๆในพื้นที่รับผิดชอบ
               ๔.  สนับสนุนหน่วยทหารและตำรวจแห่งชาติเวียดนามใต้ในการป้องกัน และควบคุมประชาชนตลอดจนทรัพยากร
               ๕.  ป้องกันฐานยิงสนับสนุนในพื้นที่รับผิดชอบ ป้องกันอำเภอลองถั่น และการปฏิบัติการซุ่มโจมตีรวมทั้งการรักษาความปลอดภัยค่ายแบร์แคต
การสนับสนุน
           กองพลทหารอาสาสมัคร  ได้รับการสนับสนุนทางการส่งกำลังบำรุงจากสหรัฐฯตามข้อตกลงโดยกองทัพสหรัฐฯ  ได้จัดหน่วยแยกทางการส่งกำลังบำรุง จากหน่วยสนับสนุนทางการส่งกำลังบำรุงที่๒๙ สหรัฐฯ ไปตั้งประจำอยู่ที่ค่ายแบร์แคต สนับสนุนอุปกรณ์ทุกประเภท เว้นสิ่งอุปกรณ์สายแพทย์ซึ่งหน่วยจะเบิกตรงจากหมวดส่วนหน้าของคลังแพทย์ที่ ๓๒ ซึ่งตั้งอยู่ที่ลองบินห์สิ่งอุปกรณ์ประเภท ๕ เบิกตรงกับคลังกระสุนของกองพันสรรพาวุธที่ ๓ สหรัฐฯ ที่ลองบินห์ การเบิกชิ้นส่วนซ่อม และการซ่อมเครื่องบิน หรือเฮลิคอปเตอร์ ประสานงานโดยตรงกับกองร้อยขนส่ง(สนับสนุนโดยตรง) ที่ ๕๖ สหรัฐฯ การเบิกแผนที่ แผนผัง และวัสดุอื่น ๆ เกี่ยวกับแผนที่ เบิกตรงกับหมวดช่างที่ ๕๔๗ สหรัฐฯ ที่ลองบินห์ สาธารณูปโภคในค่ายแบร์แคตได้รับการสนับสนุนจากหน่วยช่างก่อสร้างภาคพื้นแปซิฟิก
           กองทัพเวียดนามใต้ ให้การสนับสนุนข้าวและเกลือ ส่วนอาหารแห้งและเสบียงพิเศษกองบัญชาการทหารสูงสุดส่วนหน้า สนับสนุนให้
การปฏิบัติการ
           ได้เข้าปฏิบัติการแทนที่กองพลทหารราบที่ ๙ สหรัฐฯ  โดยได้รับมอบพื้นที่รับผิดชอบทางยุทธวิธีเฉพาะอำเภอลองถั่นส่วนพื้นที่สนใจทางยุทธวิธี ได้รับมอบพื้นที่บางส่วนของจังหวัดเบียนหว่า และจังหวัดลองคานห์ซึ่งติดกับพื้นที่รับผิดชอบทางยุทธวิธีของกองพล
           ลักษณะภูมิประเทศโดยทั่วไป ของพื้นที่รับผิดชอบเป็นทุ่งนา หนองน้ำ ป่าไม้โกงกางป่าละเมาะ สวนยาง ป่าทึบ ไปจนถึงเนินเขา มีลำน้ำหลายสายไหลผ่าน เกือบครึ่งหนึ่งของพื้นที่เป็นทุ่งนาซึ่งอยู่ตอนกลาง
           การปฏิบัติการนับว่ามีความยากลำบากมาก เนื่องจากไม่สามารถแบ่งแยกฝ่ายข้าศึกได้ชัดเจนการปฏิบัติการหลักประการหนึ่งคือ การปฏิบัติการตามโครงการสันติสุข  ซึ่งมีการปฏิบัติการทั้งทางยุทธวิธีและทางจิตวิทยาควบคู่กันไป ได้จัดตั้งฐานยิงสนับสนุนขึ้น ให้สามารถใช้อำนาจการยิงครอบคลุมเต็มพื้นที่รับผิดชอบทางยุทธวิธี
การรบที่บินห์สัน (Binh Son)
http://thaiheritage.net/nation/military/vietnam/vitnan10.jpg
           ครั้งที่  ๑
               ในวันที่ ๒๑ กันยายน ๒๕๑๑  เวลาประมาณ ๐๓.๑๕ น. เวียดกงประมาณ ๑ กองพันได้เข้าโจมตีที่ตั้งกองร้อยที่  ๒ และ ๓ ของกองพันทหารราบที่ ๓ ของไทย โดยเข้าตี ๕ ทิศทางเป็น ๒ ระลอก โดยใช้การยิงนำด้วยเครื่องยิงลูกระเบิด แล้วโจมตีด้วยจรวดอาร์พีจี ฝ่ายเราขอกำลังสนับสนุนจากปืนใหญ่กองพล จากฐานยิงสนับสนุน และชุดเฮลิคอปเตอร์ติดอาวุธปืนใหญ่สามารถยิงขัดขวางฝ่ายเวียดกง แนวหน้าที่มั่นฝ่ายเราเพียง ๑๘๐ - ๒๐๐หลา สามารถยังยั้งและสังหารข้าศึกได้เป็นจำนวนมากจนต้องถอยกลับไป
               ผลการรบ ฝ่ายไทยเสียชีวิต ๕ คน บาดเจ็บสาหัส ๑๑ คน บาดเจ็บไม่สาหัส ๑๕ คน ฝ่ายเวียดกงเสียชีวิตนับได้ ๖๕ ศพ คาดว่านำศพกลับไปประมาณ ๓๐ ศพ  ยึดอาวุธได้เป็นจำนวนมาก
           ครั้งที่ ๒
               ในวันที่ ๑๒ พฤษภาคม ๒๕๑๒ เวลาประมาณ ๐๑.๓๕ น.  เวียดกงประมาณ ๑ กองพันได้เข้าตีที่ตั้งกองร้อยที่ ๓ กองพันทหารราบที่ ๓ ของไทย เป็น ๒ ทิศทาง ฝ่ายไทยเตรียมวางกำลังต่อสู้ในทางลึก เพื่อให้สามารถทำลายข้าศึกได้ตั้งแต่ระยะไกลได้ใช้ปืนใหญ่กองพลยิงสนับสนุน ขัดขวางการรุกของข้าศึกสมทบ ด้วยการยิงของเครื่องบินสปุ๊กกี้พร้อมกับทิ้งพลุส่องสว่าง ทำให้เวียดกงประสบกับความสูญเสียเป็นจำนวนมาก และยุติการรบลงในเวลาอันสั้นเมื่อเวลา ๐๓.๐๐ น. ผลปรากฏว่าฝ่ายเราเสียชีวิต ๑ คน บาดเจ็บสาหัส ๑ คน บาดเจ็บไม่สาหัส๔ คน ฝ่ายเวียดกงเสียชีวิตนับได้ ๔๑ ศพ ยึดอาวุธได้เป็นจำนวนมาก
           ครั้งที่ ๓
               ในคืนวันที่ ๑๓ พฤษภาคม ๒๕๑๒ เวลาประมาณ ๐๐.๒๕ น. เวียดกงได้เข้าโจมตีกองร้อยที่๓ กองพันทหารราบที่ ๓ โดยแบ่งกำลังเข้าตีพร้อมกัน ๓ ทิศทาง
               กรมทหารราบที่ ๓๑ ได้ใช้ปืนใหญ่กองพลและเครื่องบินสปุ๊กกี้สนับสนุนอย่างได้ผลฝ่ายเวียดกงได้รับความเสียหายหนัก จนรุ่งเช้าจึงได้ร่นถอยกลับไป
               ผลการรบ ฝ่ายไทยทุกคนปลอดภัย ฝ่ายเวียดกงเสียชีวิตนับศพได้ ๘๗ ศพ ยึดอาวุธยุทโธปกรณ์ได้เป็นจำนวนมาก
การรบที่ล็อคอัน (Loc An)
           กรมทหารราบที่ ๑ ได้จัดกำลังไปตั้งฐานปฏิบัติการบริเวณหมู่บ้านล็อคอัน เพื่อสะกัดกั้นกองกำลังเวียดกงหมู่บ้านล็อคอันเป็นหมู่บ้านร้าง อยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของอำเภอลองถันรอบพื้นที่เป็นที่ลุ่มป่าชายเลนและสวนยาง มีลำห้วยหลายสายไหลผ่าน
          ครั้งที่ ๑
               ในวันที่ ๑๖ มีนาคม ๒๕๑๒ เวลาประมาณ ๐๒.๑๕ น.  เวียดกงประมาณ ๑ กองพันเพิ่มเติมกำลังได้เข้าตีที่ตั้งกองร้อยทหารไทยทั้ง ๒ กองร้อย  โดยเริ่มจากการยิงเตรียมด้วยเครื่องยิงลูกระเบิดและอาร์พีจี แล้วใช้กำลังส่วนใหญ่เข้าโจมตีเป็น ๓ ทิศทาง  ฝ่ายไทยขอรับการสนับสนุนจากปืนใใหญ่กองพลและชุดเฮลิคอปเตอร์ติดอาวุธของกองวทัพสนามที่ ๒ สหรัฐฯ  กองพลทหารอาสาสมัครก็ได้ส่งกำลังมาเสริมเมื่อเวลา๐๔.๓๐ น.  การรบดำเนินไปอย่างรุนแรงจนใกล้รุ่ง  ฝ่ายเวียดกงจึงถอยร่นกลับไป ฝ่ายเราได้ไล่ติดตามไปจนถึงเวลา ๐๗.๐๐ น. จึงเลิกติดตาม
               ผลการรบ ฝ่ายไทยเสียชีวิต ๒ คน บาดเจ็บสาหัส ๑๙ คน บาดเจ็บไม่สาหัส ๘ คน ฝ่ายเวียดกงเสียชีวิตนับศพได้ ๑๑๖ ศพ จับเป็นเชลยได้ ๓ คน ยึดอาวุธยุทโธปกรณ์ได้เป็นจำนวนมาก
           ครั้งที่ ๒
               กองร้อยที่ ๑ และกองร้อยที่ ๔ กองพันทหารราบที่ ๒ กรมทหารราบที่ ๑ ได้รับคำสั่งให้ไปตั้งฐานปฏิบัติการที่บริเวณหมู่บ้านล็อคอันเมื่อ ๑๖ มิถุนายน ๒๕๑๒ เวลาประมาณ ๐๐.๔๕ น. เวียดกง ๑ กรมหย่อนกำลัง ได้เข้าตีฐานปฏิบัติการของทหารไทยเริ่มด้วยการยิงเตรียมด้วยเครื่องยิงลูกระเบิด และอาร์พีจีอย่างหนัก แล้วส่งกำลังเข้าตี๓ ทิศทาง  ฝ่ายเราได้ขอรับการสนับสนุนจากปืนใหญ่กองพล ๖ กองร้อย และเฮลิคอปเตอร์ติดอาวุธกับเครื่องบินสปุ๊กกี้จากกองทัพสนามที่ ๒ สหรัฐฯ และการยิงสนับสนุนทางอากาศอย่างใกล้ชิดเวียดกงได้เข้าตีถึง ๓ ครั้ง แต่ไม่สำเร็จ และถอนตัวกลับไปเมื่อเวลาประมาณ๐๕.๐๐ น. ฝ่ายเราออกติดตามกวาดล้างจนถึงเวลา ๐๘.๐๐ น.
               ผลการรบ ฝ่ายไทยเสียชีวิต ๒ ศพ บาดเจ็บสาหัส  ๙ คน บาดเจ็บไม่สาหัส ๒๕คน  ฝ่ายเวียดกงเสียชีวิตนับศพได้ ๒๑๕ ศพ คาดว่าเสียชีวิตแล้วนำศพกลับไป๔๐ ศพ จับเป็นเชลยได้ ๒ คน ยึดอาวุธยุทโธปกรณ์ได้เป็นจำนวนมาก
สรุปผลการปฏิบัติการ
               การปฏิบัติการระหว่างวันที่ ๑๕ สิงหาคม ๒๕๑๑ ถึงวันที่ ๕ กรกฎาคม ๒๕๑๒ สรุปผลได้ดังนี้
          การปฏิบัติการรบ
               ปะทะกับเวียดกง ๓๒๘ ครั้ง สังหารเวียดกงเสียชีวิต ๙๔๔ คน  คาดว่าเวียดกงเสียชีวิต๔๐๒ คน จับเชลยศึกได้ ๑๗ คน จับผู้ต้องสงสัยได้ ๓๓๕ คน ผู้เข้ามอบตัว ๓ คน
               ยึดอาวุธประจำการได้ ๒๔๕ กระบอก อาวุธประจำหน่วย ๑๒ กระบอก กระสุน ๕๗,๐๐๐นัด ทุ่นระเบิด ๒๐๒ ลูก ทุ่นระเบิดแสวงเครื่อง ๑๘๐ ทุ่น ลูกระเบิดขว้าง ๑,๔๙๒ลูก เครื่องยิงอาร์พีจี ๕๔ ชุด จรวดอาร์พีจี ๕๔๕ ลูก
               ยึดข้าวสารได้ ๑๓,๙๐๐ กิโลกรัม ทำลายที่กำบัง ๑,๙๓๗ แห่ง เรือสำปั้น ๔๒ ลำอุโมงค์ ๑๖๕ แห่ง และยึดเอกสารต่าง ๆ ได้ ๔,๔๒๔ ฉบับ
               การสูญเสียของฝ่ายไทยจากการปฏิบัติการรบ ๕ ครั้ง มีผู้เสียชีวิต ๑๔ คน บาดเจ็บสาหัส๔๖ คน บาดเจ็บไม่สาหัส ๕๒ คน
การช่วยเหลือประชาชน
           ได้ดำเนินการช่วยเหลือประชาชนชาวเวียดนามใต้ในการก่อสร้างสาธารณูปโภค จัดชุดแพทย์และทันตแพทย์เคลื่อนที่ไปรักษาพยาบาลประชาชน  พอประมวลได้รายการที่สำคัญดังนี้
           ตัดถนนยาว ๗,๓๐๐ เมตร  ถากถางพื้นที่และปรับพื้นที่ ๑๐๖,๗๐๐ เมตร รักษาพยาบาลผู้ป่วยเจ็บ ๓๐,๙๖๔ ราย จัดชุดปฏิบัติการจิตวิทยา ๓๑๙ ครั้ง
การผลัดเปลี่ยนและการเดินทางกลับ
           กองพลทหารอาสาสมัคร ผลัดที่ ๑ ส่วนที่ ๑ ปฏิบัติการอยู่ในเวียดนามใต้ ได้๖ เดือน ผลัดที่ ๑ ส่วนที่ ๒ จึงเดินทางไปสมทบในเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๑๒ และปฏิบัติการร่วมกันเป็นเวลา๖ เดือน  จากนั้นผลัดที่ ๒ ส่วนที่ ๑ จึงได้เดินทางไปสับเปลี่ยนกับกำลังของผลัดที่๑ ส่วนที่ ๑ เป็นส่วน ๆ ตามลำดับ  เสร็จแล้วจึงทยอยเดินทางกลับโดยเครื่องบินลำเลียงของสหรัฐฯ
คำชมเชยจากต่างประเทศ
http://thaiheritage.net/nation/military/vietnam/vitnan11.jpg
           รัฐบาลเวียดนามใต้และกองทัพสหรัฐฯ ได้สดุดีเกียรติประวัติของกองพลทหารอาสาสมัครผลัดที่ ๑ ส่วนที่ ๑ว่า ได้ปฏิบัติการรบอย่างกล้าหาญยิ่งยวด ทำให้เวียดกงประสบความสูญเสียอย่างหนัก กองกำลังทหารบกไทย ได้คุ้มครองป้องกันประชาชนชาวเวียดนามใต้ในพื้นที่รับผิดชอบไม่ให้ฝ่ายเวียดกงทำอันตรายได้ควบคู่ไปกับการปฏิบัติการทางทหาร  ได้ช่วยเหลือในด้านการรักษาพยาบาลและช่วยเหลือให้ประชาชนมีความเป็นอยู่ดีขึ้น และได้ปฏิบัติต่อชาวเวียดนามฉันญาติพี่น้อง
           ดังนั้นรัฐบาลเวียดนามใต้ถึงได้มอบแพรแถบเชิดชูเกียรติคุณหน่วยประดับธงชัยเฉลิมพลของกองพลทหารอาสาสมัครรวม ๒ แถบ และรัฐบาลสหรัฐฯ ได้มอบเกียรติบัตรชมเชยดังนี้
เวียดนามใต้
TheUnit Citation Streamer Colkor of Gallantry Cross with Palm
แพรแถบเชิดชูเกียรติคุณหน่วยกางเขนแห่งความกล้าหาญประดับใบปาล์ม
TheUnit Citation Streamer Color of the Civic Action Medal with Oakleaf
แพรแถบเชิดชูเกียรติคุณหน่วยเหรียญกิจการพลเรือนประดับใบโอ๊ค
สหรัฐอเมริกา
TheUS Meritorious Unit Commendation
เกียรติบัตรชมเชยการปฏิบัติงานดีเด่น
กองพลทหารอาสาสมัคร ผลัดที่ ๑ ส่วนที่ ๒
http://thaiheritage.net/nation/military/vietnam/vitnan12.jpg
            กองพลทหารอาสาสมัคร ผลัดที่ ๑ ส่วนที่ ๒ มีกำลังพล ๕,๗๐๔ คน  ได้เดินทางไปยังเวียดนาม โดยแบ่งกำลังออกเป็น ๓ ส่วนคือ ส่วนหน้า ส่วนใหญ่ และส่วนหลัง  การเดินทางเสร็จสิ้นเมื่อวันที่ ๒๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๑๒ ได้ไปสมทบและปฏิบัติการร่วมกับส่วนที่ ๑ เป็นเวลา  ๖ เดือน  เมื่อผลัดที่ ๑ ส่วนที่ ๑ เดินทางกลับประเทศไทยแล้ว  ผลัดที่ ๑ ส่วนที่ ๒ ได้เปลี่ยนการบังคับบัญชาไปขึ้นกับ ผู้บัญชาการกองพลทหารอาสาสมัคร ผลัดที่ ๒ และได้รับมอบให้ปฏิบัติการในพื้นที่สนใจทางยุทธวิธี ทางทิศเหนือของกองพล ในเขตติดต่อระหว่างอำเภอตูดิ๊ก กับอำเภอลองถั่น จังหวัดเบียนหว่า  อันเป็นด่านสำคัญในการป้องกันค่ายลองบินห์  ซึ่งเป็นที่ตั้งกองบัญชาการกองทัพบกสหรัฐฯ ในเวียดนามใต้ และกองบัญชาการกองทัพสนามที่ ๒ สหรัฐฯ โดยได้รับมอบภารกิจเฉพาะ ให้ร่วมกันสกัดกั้นการรุกใหญ่ ครั้งที่ ๔ ของเวียดกง
            กองพลทหารอาสาสมัคร ผลัดที่ ๑ ส่วนที่ ๒  ได้ปฏิบัติการเชิงรุกอย่างกว้างขวาง ร่วมกับผลัดที่ ๑ ระหว่างเดือนมกราคม - มิถุนายน ๒๕๑๒  หลังจากนั้นก็ได้ปฏิบัติการร่วมกับกองพลทหารอาสาสมัคร ผลัดที่ ๒ ส่วนที่ ๑ ระหว่างเดือนกรกฎาคม - ธันวาคม ๒๕๑๒  มีการรบที่สำคัญดังนี้
การรบที่เฟือกกาง  (Phuoc Cang)
http://thaiheritage.net/nation/military/vietnam/vitnan13.jpg
            กรมทหารราบที่ ๒ ได้รับคำสั่งให้ไปตั้งฐานปฏิบัติการอยู่บนเนิน ๓๘ ใกล้หมู่บ้านเฟือกกาง  เพื่อสกัดกั้นเวียดกง  ซึ่งวางกำลังอยู่ในพื้นที่ปฏิบัติการวังผา  ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ตั้งแต่ ๑๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๑๒
            ภูมิประเทศในพื้นที่ปฏิบัติการเป็นทุ่งนา ป่าไม้รกทึบและสวนยาง  กรมทหารราบที่ ๒ จึงให้กองพันทหารราบที่ ๓ จัดกองร้อยที่ ๓ เพิ่มเติมกำลัง ๑ หมวด จากกองพันทหารม้ายานเกราะ ไปสกัดกั้นเวียดกง และรักษาพื้นที่ปฏิบัติการ
            วันที่ ๒๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๑๒ หน่วยลาดตระเวนกองร้อยอาวุธเบาที่ ๓ ได้ปะทะกับเวียดกงจำนวนหนึ่งอันเป็นสิ่งบอกเหตุว่าเวียดกง จะเข้าโจมตีในไม่ช้านี้
            ในคืนวันวันที่ ๒๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๑๒ เวลา ๐๒.๒๐ น. กองพันที่ ๓ กรมที่ ๒๗๔ เวียดกงได้เข้าโจมตีฐานปฏิบัติการกองร้อยอาวุธเบาที่ ๓ ของไทยอย่างรุนแรง โดยได้ยิงเตรียมด้วยเครื่องยิงลูกระเบิด และจรวดอาร์พีจี ไปยังค่ายแบร์แคต และฐานยิงสนับสนุนพร้อมกัน หลังจากนั้นได้ใช้กำลังทหารราบเข้ารบประชิด รอบที่ตั้งฐานปฏิบัติการ ฯ ใน ๓ ทิศทาง เนื่องจากการรบติดพันในระยะต้นไม่อาจใช้ปืนใหญ่ และเฮลิคอปเตอร์ติดอาวุธได้เต็มขีดความสามารถ จนถึงเวลา ๐๖.๐๐ น. เวียดกงเริ่มถอนตัวจากการรบ กองพลทหารอาสาสมัครได้ใช้ปืนใหญ่ของกองพล ๕ กองร้อย  กับกำลังทางอากาศระดมยิงอย่างหนัก เพื่อสกัดกั้น และทำลายการถอนตัวของข้าศึก และได้ส่งกำลังหมวดทหารม้ายานเกราะออกกวาดล้างข้าศึก จนถึง เวลา ๑๐.๔๕ น. จึงเสร็จสิ้น
            ผลการรบ ฝ่ายไทยเสียชีวิต ๑ คน บาดเจ็บสาหัส ๕ คน ฝ่ายเวียดกงเสียชีวิตนับศพได้ ๕๗ ศพ ถูกจับเป็นเชลย ๑๐ คน ยึดอาวุธยุทโธปกรณ์ได้เป็นอันมาก
ยุทธการอัศวิน
            กองพลทหารอาสาสมัคร ได้รับมอบภารกิจในการลาดตระเวนค้นหา และทำลายเวียดกงเพื่อให้การระวังป้องกัน การปฏิบัติการถางป่า และทำลายต้นไม้ในพื้นที่รับผิดชอบของกองพลทางทิศใต้ และทิศตะวันออกของสวนยางบินห์สัน ในเขตอำเภอลองถั่น ตั้งแต่วันที่ ๑๑ กันยายน ๒๕๑๒ เพื่อขัดขวางกำลังเวียดกง ที่อาศัยป่าแถบนั้นเป็นแหล่งกำบัง และซ่อนพรางกำลังในฐานปฏิบัติการ เพื่อเตรียมการโจมตีกำลังทหารไทย และชาติพันธมิตรฝ่ายโลกเสรี
            พื้นที่ปฏิบัติการดังกล่าว มีภูมิประเทศส่วนใหญ่เป็นป่า และสวนยางสลับกัน ยากลำบากต่อการเคลื่อนที่ด้วยเท้า และจำกัดต่อการตรวจการณ์ด้วยสายตาทั้งทางพื้นดิน และทางอากาศ ง่ายต่อการถูกโจมตีจากฝ่ายข้าศึก ทางด้านทิศตะวันตกเป็นที่ลุ่ม มีลำน้ำหลายสายที่เวียดกงใช้เป็นเส้นทางส่งกำลังบำรุง กลางสวนยางเป็นที่ตั้งของสนามบินขนาดใหญ่ของเวียดนามใต้ คือสนามบินบินห์สัน
            กองพลทหารอาสาสมัครได้กำหนดแผนยุทธการใช้ชื่อว่าแผนอัศวิน เป็นแผนการลาดตระเวนค้นหาและทำลายข้าศึก และจัดกำลังเป็นหน่วยรบเฉพาะกิจ เรียกว่า หน่วยรบเฉพาะกิจอัศวิน มีผู้บังคับกองพันทหารม้ายานเกราะ เป็นผู้บังคับหน่วย ประกอบด้วย กองพันทหารม้ายานเกราะหย่อน ๑ กองร้อย  กองร้อยอาวุธเบา  กองร้อยทหารปืนใหญ่ (ช่วยโดยตรง) หมวดทหารช่างสนาม
            ยุทธการอัศวินเริ่มปฏิบัติการตั้งแต่ ๑๑ กัยยายน ๒๕๑๒ ถึง ๓๐ ตุลาคม ๒๕๑๒ ได้ปะทะกับเวียดกง ๓ ครั้ง ฝ่ายเราเสียชีวิต ๖ คน ไม่ทราบการสูญเสียของเวียดกง ผลการปฏิบัติการครั้งนี้ทำให้การถากถางป่าบรรลุผล ถางป่าได้ ๙,๔๐๐ ไร่ ฝ่ายเวียดกงไม่สามารถใช้พื้นที่เป็นประโยชน์ต่อการปฏิบัติการได้ และเป็นประโยชน์แก่ฝ่ายเราในการกวาดล้างข้าศึก
ยุทธการวูล์ฟแพค ๑,๒  (Woltpack I,II)
            ยุทธการนี้เป็นการปฏิบัติการผสมของกองกำลังฝ่ายโลกเสรี ระหว่างวันที่ ๒๐ - ๒๓ ตุลาคม ๒๕๑๒ และ ๑๔ - ๑๘ พฤศจิกายน ๒๕๑๒ โดยมีกองพันรบ เฉพาะกิจของไทย เวียดนามใต้ ออสเตรเลีย และหมวดเรือเฉพาะกิจสหรัฐฯ  กำลังเฉพาะกิจของ ๔ หน่วยดังกล่าวปฏิบัติการเป็นอิสระแก่กัน โดยมีการประสานกันอย่างใกล้ชิด
            การปฏิบัติการครั้งนี้กองกำลังของฝ่ายไทยได้ปะทะกับเวียดกงหลายครั้ง ฝ่ายเราเสียชีวิต ๒ คน บาดเจ็บสาหัส ๑ คน เวียดกงเสียชีวิต ๓๓ คน ทำลายที่มั่นปิด ๓๕ แห่ง คูติดต่อ ยาว ๓๐๐  เมตร หลุมบุคคล ๓๑ หลุม อาวุธยุทโธปกรณ์และเอกสารสำคัญจำนวนมาก
ยุทธการเบ็นแคม  (Ben Cam)
            หมู่บ้านเบ็นแคม อยู่ในเขตอำเภอโนนทรัค ลักษณะภูมิประเทศเป็นที่ลุ่มน้ำขัง ป่าไม้ สวนยาง และทุ่งนา พื้นที่ป่าบริเวณใต้หมู่บ้าน  เป็นแหล่งที่หลบซ่อนกำลัง และสะสมเสบียงอาหารของฝ่ายเวียดกง
            ภารกิจของกองพลทหารอาสาสมัครครั้งนี้ ถือการปิดล้อมเวียดกงที่หลบซ่อนอยู่ เพื่อทำลายกำลังและแหล่งเสบียงอาหารของเวียดกง จึงกำหนดแผนที่จะใช้เส้นทางรอบหมู่บ้านเบ็นแคมในการเคลื่อนย้ายกำลังเข้าจู่โจมปิดล้อม แล้วกระชับวงเข้าไปสังหาร และจับเป็นเชลยศึก โดยใช้กำลัง ๖ กองร้อยอาวุธเบา และกำลังกึ่งทหารของกองทัพเวียดนามใต้ ๒ กองร้อยกับกำลังตำรวจเวียดนามใต้อีกจำนวนหนึ่ง
            การปฏิบัติการเริ่มตั้งแต่ วันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ถึง ๔ ธันวาคม ๒๕๑๒ โดยได้จู่โจมเข้าปิดล้อมป่าไว้โดยรอบ ในวันรุ่งขึ้นเวียดกง ๑ หมู่ พยายามตีฝ่าวงล้อมแต่ไม่สำเร็จ ในวันที่ ๓ เมื่อกระชับวงปิดล้อมเข้าไปตามลำดับ ก็ได้ค้นพบอุโมงค์ขนาดใหญ่จุคนประมาณ ๑๐๐ คน ฝ่ายเวียดกงเพิ่งเคลื่อนย้ายออกไป รอบอุโมงค์มีที่กำบังอยู่ถึง ๓๐ แห่ง ฝ่ายไทยยึดอุปกรณ์สายแพทย์ได้เป็นอันมาก ในวันต่อมาเวียดกง ๑ หมู่ พยายามตีฝ่าวงล้อมออกไปอีกแต่ ไม่เป็นผล วันต่อมาได้มีการปะทะกับเวียดกงอีกหลายครั้ง
            เมื่อปฏิบัติการได้ ๑๑ วัน ฝ่ายไทยเสียชีวิต ๓ คน บาดเจ็บสาหัส ๓ คน บาดเจ็บไม่สาหัส ๓ คน ฝ่ายเวียดกงเสียชีวิต ๑๐ คน เข้ามอบตัว ๑๗ คน ทำลายที่กำบัง ๑๕๐ แห่ง ยึดอาวุธยุทโธปกรณ์ได้เป็นจำนวนมาก
ยุทธการเฟือกเหงียน  (Phuac Nguyen)
http://thaiheritage.net/nation/military/vietnam/vitnan14.jpg

            หมู่บ้านเฟือกเหงียนอยู่ในเขตอำเภอลองถั่น ภูมิประเทศส่วนใหญ่เป็นที่ลุ่มมีลำน้ำหลายสาย พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นทุ่งนา และมีป่ารกทึบรอบบริเวณ มีสวนยางสลับป่า หมู่บ้านนี้สืบทราบมาว่าเป็นแหล่งหลบซ่อนกำลัง และสะสมเสบียงอาหารของกรมที่ ๒๗๔ เวียดกงและกองโจรประจำถิ่นเวียดกง
            กองพลทหารอาสาสมัคร ได้รับมอบภารกิจให้ปฏิบัติการยุทธผสมร่วมกับกองกำลังกึ่งทหาร กำลังตำรวจ และกำลังเจ้าหน้าที่อำเภอลองถั่น เข้าทำการปิดล้อมและตรวจค้นหมู่บ้าน เพื่อทำลายข้าศึก และแยกประชาชนออกจากกองโจร ประจำถิ่นของเวียดกง กองพลทหารอาสาสมัครได้จัดกำลังกองร้อยอาวุธเบา วางกำลังไว้วงนอก ส่วนกำลังกึ่งทหาร ๒ กองร้อยของกองทัพเวียดนามใต้ และกำลังตำรวจเวียดนามใต้อีกจำนวนหนึ่งวางกำลังไว้วงในทำการปิดล้อม และตรวจค้นหมู่บ้านแห่งนี้ โดยปฏิบัติการตั้งแต่วันที่ ๔ ถึง ๑๒ ธันวาคม ๒๕๑๒ มีการปะทะกับเวียดกง ๒ ครั้ง
            ผลการรบ ฝ่ายไทยไม่มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บ ฝ่ายเวียดกงเสียชีวิต ๔ คน จับผู้ต้องสงสัยได้ ๒๐ คน ยึดได้อุปกรณ์ และเอกสารได้เป็นจำนวนมาก
สรุปผลการปฏิบัติการ
            ผลการปฏิบัติการของกองพลทหารอาสาสมัคร ผลัดที่ ๒ ระหว่างวันที่ ๑๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๑๒ - ๑๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๑๓ สรุปได้ดังนี้
            ปะทะกับเวียดกง ๒๑๒ ครั้ง สังหารเวียดกงนับศพได้ ๓๔๓ ศพ คาดว่าเวียดกงเสียชีวิต ๑๒๙ คน จับเชลยศึกได้ ๑๑ คน จับผู้ต้องสงสัยได้ ๑๘๓ คน มีผู้เข้ามอบตัว ๔๙ คน
            ยึดอาวุธประจำกายได้ ๙๙ กระบอก อาวุธประจำหน่วย ๗ กระบอก กระสุน ๑๕,๔๐๐ นัด ทุ่นระเบิด ๕๓ ทุ่น ทุ่นระเบิดแสวงเครื่อง ๑๒๙ ทุ่น ลูกระเบิดขว้าง ๒๔๒ ลูก เครื่องยิงจรวดอาร์พีจี ๑๖ เครื่อง จรวดอาร์พีจี ๓๑ ลูก
            ทำลายที่กำบังได้ ๑,๗๓๓ แห่ง อุโมงค์ ๓๓ แห่ง เรือสำปั้น ๕๑ ลำ ข้าวสาร ๒๔ ตัน เอกสารต่าง ๆ ๑๙๘ ฉบับ
            ถากถางพื้นที่ ๒ ล้านตารางเมตร ก่อสร้างอาคารสาธารณประโยชน์ ๒ รายการ ขุดบ่อน้ำ ๖ บ่อ
            รักษาผู้เจ็บป่วย ๒๔,๐๔๖ ราย จัดชุดปฏิบัติการจิตวิทยา และแพทย์เคลื่อนที่ ๓๐๒ ครั้ง
การผลัดเปลี่ยนและเดินทางกลับ
            เมื่อปฏิบัติการจนถึงเดือน ธันวาคม ๒๕๑๒ ได้รับการผลัดเปลี่ยนจากกำลังกองพลทหารอาสาสมัคร ผลัดที่ ๒ ส่วนที่ ๒ ระหว่างวันที่ ๑๒ มกราคม - ๑๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๑๓ จากนั้นจึงเดินทางกลับเป็นส่วน ๆ โดยทางเครื่องบิน
อิสริยาภรณ์ และเหรียญตราที่ได้รับ
            การปฏิบัติการของกองพลทหารอาสาสมัคร ผลัดที่ ๑ มีผลงานเป็นที่ยกย่อง และได้รับความชื่นชมจาก บรรดามิตรประเทศเป็นอันมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวียดนามใต้ และสหรัฐฯ ได้มอบอิสริยาภรณ์ และเหรียญตรา เป็นการเชิดชูเกียรติ์ทหารไทยในกองพลทหารอาสาสมัคร ผลัดที่ ๑ ดังนี้
            สหรัฐฯ             Silver Star Medal    ๑๔ คน
                                       Bronge Star Medal With letter ''v'' ๓๓ คน
                                       Army Commendation Medal With letter ''v''  ๖๔ คน
            เวียดนามใต้      Gallantry Cross With Palm    ๔๒ คน
                                        Gallantry Cross With Gold Star  ๕๗ คน
                                        Gallantry Cross With Silver Star  ๘๘ คน
                                        Gallantry Cross With Bronze Star  ๘๔ คน

กองพลทหาร อาสาสมัคร ที่ ๒
http://thaiheritage.net/nation/military/vietnam/vitnan15.jpg
            กองพลทหารอาสาสมัคร ผลัดที่ ๒ ส่วนที่ ๑ จัดตั้งขึ้นเมื่อวันที่ ๖ มกราคม ๒๕๑๒ มีกำลังพลทั้งสิ้น ๕,๕๘๒ คน มีพลตรี สวัสดิ์  มักการุณ เป็นผู้บัญชาการกองพล เดินทางออกจากประเทศไทยไปผลัดเปลี่ยน กองพลทหารอาสาสมัครส่วนที่ ๑ ผลัดที่ ๑ ระหว่างเดือน กรกฎาคม - สิงหาคม ๒๕๑๒ ได้ทยอยเดินทางโดยเครื่องบินลำเลียงแบบ C- ๑๓๐ ของกองทัพอากาศสหรัฐฯ จำนวน ๘๐ เที่ยวบิน
            กองพลทหารอาสาสมัคร ได้รับมอบภารกิจให้ปราบปรามกองกำลังเวียดกง และกองทหารเวียดนามเหนือ ในเขตอำเภอโนนทรัค และอำเภอลองถั่น จังหวัดเบียนหว่า ซึ่งในระหว่างเดือน สิงหาคม ๒๕๑๒ ถึงเดือน กุมภาพันธ์ ๒๕๑๓ กองพลทหารอาสาสมัคร ได้ปฏิบัติการตามภารกิจที่ได้รับมอบได้ผลดียิ่ง จนหมู่บ้านในอำเภอโนนทรัค ซึ่งเคยตกอยู่ในอิทธิพลของเวียดกง กลับคืนมาอยู่ในความคุ้มครองของทหารเวียดนามใต้ตามเดิม จากนั้นก็ได้รับมอบภารกิจให้รับผิดชอบพื้นที่สนใจทางยุทธวิธีใน อำเภอลองถั่นกับพื้นที่บางส่วนของอำเภอดึ๊กตู จังหวัดเบียนหว่า และอำเภอชวนล็อค จังหวัดลองคานห์ ร่วมกับกองกำลังทหารเวียดนามใต้ และกองกำลังชาติพันธมิตรฝ่ายโลกเสรีเพื่อ
                ๑.  ช่วยเหลือโครงการสันติสุข และขยายอำนาจการปกครองของรัฐบาลเวียดนามใต้ ให้เต็มพื้นที่สนใจทางยุทธวิธีที่ได้รับมอบหมาย
                ๒.  เพิ่มพูนประสิทธิภาพของกองกำลังประจำถิ่น และกำลังประชาชน
                ๓.  ปฏิบัติการทางทหารเพื่อทำลายกำลังข้าศึก
พื้นที่การปฏิบัติการ การจัดกำลัง และการวางกำลัง
http://thaiheritage.net/nation/military/vietnam/vitnan16.jpg
            กองพลทหารอาสาสมัคร ผลัดที่ ๒ ส่วนที่ ๑ ได้รับมอบพื้นที่ปฏิบัติการแบ่งเป็น ๓ ส่วนใหญ่ ๆ คือ
            ส่วนที่ ๑ พื้นที่ตอนเหนือค่ายแบร์แคต กับพื้นที่ทางทิศตะวันออกและทิศใต้ของสวนยางบินห์สัน ซึ่งเป็นป่ารกทึบ
            ส่วนที่ ๒ พื้นที่ตอนกลางค่ายแบร์แคต เป็นที่เพาะปลูกสวนยาง ได้แก่ สวนยางบินห์สัน สวนยางอันเวียง สวนยางเฮเลนา และสวนยางชิฟ
            ส่วนที่ ๓ พื้นที่ทางด้านทิศตะวันตก เป็นพื้นที่ต่อจากพื้นที่กองบัญชาการป้องกันเขตนครหลวง (Capitat Mititary Districk) เป็นพื้นที่ลุ่มมีลำน้ำหลายสายไหลลงสู่แม่น้ำดองไน ซึ่งเป็นเส้นทางส่งกำลังบำรุงหลักของเวียดกง ประชาชนในพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นชาวนา
            กองพลทหารอาสาสมัคร ได้มีการเปลี่ยนแปลงการจัดเป็นการภายใน คือ ให้กองร้อยลาดตระเวนระยะไกลเป็นหน่วยขึ้นตรงกองพล และได้ตั้งหน่วยเฉพาะกิจนารายณ์ขึ้น เพื่อรับผิดชอบการระวังป้องกันค่ายแบร์แคต และพื้นที่ปฏิบัติการนารายณ์โดยมีรองผู้บัญชาการกองพล เป็นผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจนารายณ์ และผู้บังคับทหารปืนใหญ่กองพลทหารอาสาสมัคร เป็นรองผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจนารายณ์
            การรบในเวียดนามเป็นการรบนอกแบบ การปฏิบัติการรบเป็นไปในลักษณะป้องกันตนเองรอบทิศทาง (Perimeter Defense) เมื่อหน่วยหยุดอยู่กับที่หรือตั้งฐานปฏิบัติการ จะดำเนินการรบแบบจรยุทธ์ ด้วยการส่งหน่วยลาดตระเวนระยะไกล ทั้งทางพื้นดินและอากาศ ออกตรวจค้นหาที่ตั้งของข้าศึก ขัดขวางและทำลายกำลังข้าศึกส่วนนั้น ปกติหน่วยกองพันทหารราบจะแยกกองร้อยออกปฏิบัติการเป็นอิสระ ให้เลือกและจัดตั้งฐานลาดตระเวนของตนขึ้น แล้วเคลื่อนย้ายฐานลาดตระเวนทุก ๒-๓ วัน เพื่อดำรงความกดดันและรบกวนเวียดกงอย่างต่อเนื่อง และเป็นการหลีกเลี่ยงการถูกโจมตีด้วยกำลังทางพื้นดิน
            การวางกำลังของปืนใหญ่กองพล ได้วางปืนใหญ่และกำลังประจำฐานยิงสนับสนุนในระดับกองร้อย กองร้อยละ ๑ ฐานยิง ทั้งกองพันทหารปืนใหญ่ที่ ๑ ซึ่งเป็นกองพันปืนใหญ่เบาขนาด ๑๐๕ มิลลิเมตร และกองพันทหารปืนใหญ่กลางกระสุนวิถีโค้ง ขนาด ๑๕๕ มิลลิเมตร
ยุทธการมิตรภาพ ๑
            บริเวณสองฝั่งลำน้ำทิไหว่ ซึ่งอยู่ทางตอนใต้ของ อำเภอโนนทรัค เป็นแหล่งสะสมเสบียง และอาวุธยุทโธปกรณ์ของเวียดกง มีกำลังประจำถิ่นเฝ้ารักษาอยู่ประมาณ ๓๐ - ๕๐ คน กำลังฝ่ายไทยประกอบด้วย กองพันทหารราบที่ ๒ กองพันทหารปืนใหญ่ช่วยโดยตรง และหมวดทหารช่างสนาม ร่วมด้วยกำลังฝ่ายสหรัฐฯ  ประกอบด้วยหน่วยเรือตรวจลำน้ำ (Patrol Boat River : PBR) ขึ้นในความควบคุมทางยุทธการของ กองพลทหารอาสาสมัคร กองร้อยเฮลิคอปเตอร์โจมตี และกองพันปฏิบัติการปฏิจิตวิทยาที่ ๖ พร้อมทั้งกองพันนาวิกโยธินเวียดนามใต้ ซึ่งขึ้นในความควบคุมทางยุทธการของ กองพลทหารอาสาสมัคร
            การปฏิบัติการยุทธผสมครั้งนี้ เป็นการปฏิบัติการร่วมกับกองกำลังชาติพันธมิตรครั้งแรก
            เช้าวันที่ ๒ สิงหาคม ๒๕๑๒ เครื่องบินทิ้งระเบิดแบบ B - ๕๒ ได้ไปทิ้งระเบิดเป้าหมาย ในขณะที่ปืนใหญ่ก็ได้ระดมยิงที่หมายพร้อมกัน จากนั้นกองพันทหารราบที่ ๒ ของไทยได้เคลื่อนที่ทางอากาศด้วยเฮลิคอปเตอร์ ลงโจมตีที่หมายต่าง ๆ ๔ แห่ง
            ผลการรบ ที่กำบังปิดของข้าศึกถูกทำลาย ๒๖ แห่ง ไม่ปรากฏการสูญเสียของทั้งสองฝ่าย แต่จากปากคำของชาวบ้านฝ่ายเวียดกงเสียชีวิต ๓๐ คน
ยุทธการมิตรภาพ ๒
            กองพันทหารราบที่ ๑ ได้ปฏิบัติการยุทธผสมร่วมกับกองพันนาวิกโยธินเกาหลีใต้ เมื่อวันที่ ๙ - ๑๖ สิงหาคม ๒๕๑๒ ทำการค้นหากวาดล้าง และทำลายกำลังเวียดกง ในพื้นที่ปฏิบัติการอุบล ทางทิศตะวันออกของอำเภอลองถั่น และพื้นที่ปฏิบัติการระยอง สามารถทำลายที่กำบังปิดได้ ๓ แห่ง ฝ่ายไทยปลอดภัยทุกคน
ยุทธการมิตรภาพ ๓
            เป็นการปฏิบัติการที่ใช้เวลานานหลายเดือน ตั้งแต่เดือนกันยายน ๒๕๑๒ ถึงเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๑๓ แบ่งการปฏิบัติการออกเป็น ๔ ขั้น
            ขั้นที่ ๑  เป็นการปฏิบัติการถางป่าในพื้นที่ของกองพลทหารอาสาสมัคร หน่วยรบเฉพาะกิจที่ ๑  ออสเตรเลีย กรมทหารราบเบาที่ ๑๙๙ สหรัฐฯ และกองพลทหารราบที่ ๑๘ เวียดนามใต้ ก่อนการถางป่าได้มีการกวาดล้างในพื้นที่มีรัสมี ประมาณ ๑๒ กิโลเมตร เพื่อเปิดพื้นที่ป่าทึบให้โล่งเตียน สะดวกแก่การทำลายฐานปฏิบัติการ รวมทั้งที่กำบังปิด และอุโมงค์ต่าง ๆ ของเวียดกง กับเพื่อให้สะดวกในการปฏิบัติการยุทธเคลื่อนที่ทางอากาศ และส่งกำลังบำเพิ่มเติมทางอากาศในยามฉุกเฉิน
            ขั้นที่ ๒ และขั้นที่ ๓  เป็นการปฏิบัติการยุทธผสมของกองพลทหารอาสาสมัคร กับกองกำลังฝ่ายโลกเสรี ในพื้นที่ปฏิบัติการ ซึ่งอยู่ในเขตรับผิดชอบของกองพลทหารราบที่ ๑๘ เวียดนามใต้ ภายใต้การควบคุมของกองบัญชาการผสมกองพลทหารราบที่ ๑๘ เวียดนามใต้ ที่ชวนล็อค ได้ทำการปิดล้อมฐานปฏิบัติการของเวียดกง แล้วส่งเครื่องบินไปทิ้งระเบิดทำลายฐานของฝ่ายเวียดกง ทำให้ฝ่ายเวียดกงต้องกระจายกำลังออกไปเป็นกลุ่มย่อย ๆ  มีการปะทะกับเวียดกง ๘๐ ครั้ง ตลอดเวลาเกือบ ๓ เดือน ฝ่ายโลกเสรีเสียชีวิต ๑๑ คน บาดเจ็บ ๑๐๕ คน ฝ่ายเวียดกงเสียชีวิต ๑๐๙ คน ที่กำบังปิดถูกทำลาย ๕๗๕ แห่ง หลุมบุคคล ๑๑๐ แห่ง ยึดได้อาวุธยุทโธปกรณ์เป็นจำนวนมาก
            ขั้นที่ ๔  เป็นการปฏิบัติการรุกครั้งสุดท้าย ปฏิบัติการยุทธเคลื่อนที่ทางอากาศผสมกับ กำลังภาคพื้นดินเข้ากวาดล้าง และทำลายกรมที่ ๒๗๔ เวียดกง ทางทิศใต้ของหมู่บ้านบินห์สัน มีการปะทะกัน ๑๗ ครั้ง ฝ่ายเราเสียชีวิต ๒ คน บาดเจ็บ ๒๐ คน เฮลิคอปเตอร์ถูกยิงตก ๑ เครื่อง ฝ่ายเวียดกงเสียชีวิต ๑๒ คน ทำลายที่กำบังปิดได้ ๒๓ แห่ง ยึดได้อาวุธยุทโธปกรณ์เป็นจำนวนมาก
ยุทธการมิตรภาพ ๕
            องค์การช่วยเหลือทางทหารฝ่ายโลกเสรีได้กำหนดแผนยุทธการมิตรภาพ ๕ ขึ้น เพื่อสร้างความปลอดภัยให้แก่ราษฎรในพื้นที่ ๒๖ หมู่บ้าน ของอำเภอลองถั่น และอำเภอดึ๊กตู จังหวัดเบียนหว่า กับอำเภอชวนล็อก จังหวัดลองคานห์ ตั้งแต่เดือน มิถุนายน ๒๕๑๓ โดยทำการกวาดล้างเวียดกงควบคู่ไปกับการพัฒนาหมู่บ้านเหล่านั้น โดยแบ่งหมู่บ้านออกเป็น ๖ ระดับ ตามระดับความปลอดภัย ตั้งแต่หมู่บ้านที่มีความปลอดภัยสูงสุด ปราศจากการแทรกซึมของเวียดกง ไปจนถึงหมู่บ้านที่ตกอยู่ในความคุ้มครองของเวียดกง
            ผลการปฏิบัติมีการปะทะกับเวียดกง ๑ ครั้ง ทหารบาดเจ็บ ๓ คน ฝ่ายเวียดกงเสียชีวิต ๓ คน ยึดอาวุธยุทโธปกรณ์ได้จำนวนหนึ่ง
ยุทธการสี่พยัคฆ์  (Opcration Tu Ho)
            เป็นการปฏิบัติการรบผสมของกองกำลังฝ่ายโลกเสรี ๔ ชาติ คือ เวียดนามใต้ สหรัฐฯ ออสเตรเลีย และไทย โดยที่แต่ละหน่วยปฏิบัติการอยู่ในพื้นที่รับผิดชอบของตน ภายใต้การควบคุมของกองทัพสนาม ที่ ๒ สหรัฐฯ
            ผลการปฏิบัติ ในส่วนของกองพลทหารอาสาสมัคร เฉพาะในเดือนมีนาคม ๒๕๑๓ มีการปะทะกับเวียดกง ๗๔ ครั้ง กำลังฝ่ายโลกเสรีเสียชีวิต ๑๔ คน บาดเจ็บ ๑๐๓ คน สังหารเวียดกงได้ ๘๙ คนจับเป็นเชลยศึกได้ ๒ คน ทำลายที่กำบังปิดได้ ๔๑๘ แห่ง อุโมงค์ ๓ แห่ง และยึดอาวุธยุทโธปกรณ์ได้เป็นจำนวนมาก
การผลัดเปลี่ยน และเดินทางกลับ
http://thaiheritage.net/nation/military/vietnam/vitnan17.jpg
            กองพลทหารอาสาสมัคร ผลัดที่ ๒ ส่วนที่ ๑ ปฏิบัติการได้ครบ ๑ ปี ในเดือน กรกฎาคม ๒๕๑๓ เมื่อได้รับการผลัดเปลี่ยน จากผลัดที่ ๓ ส่วนที่ ๑ แล้วจึงเดินทางกลับประเทศไทยทางเครื่องบินเสร็จสิ้นเมื่อ ๑๓ สิงหาคม ๒๕๑๓
กองพลทหารอาสาสมัคร ผลัดที่ ๒ ส่วนที่ ๒
http://thaiheritage.net/nation/military/vietnam/vitnan18.jpg
            จัดตั้งขึ้นเมื่อวันที่ ๑๙ กรกฎาคม ๒๕๑๒ มีกำลังพลทั้งสิ้น ๕,๖๙๐ คน มีพันเอก เชษฐ  คงศักดิ์ เป็นรองผู้บัญชาการกองพล ออกเดินทางไปผลัดเปลี่ยนกับกองพลทหารอาสาสมัคร ผลัดที่ ๑ ส่วนที่ ๒ ระหว่างเดือน มกราคม - กุมภาพันธ์ ๒๕๑๓ แล้วเข้าสมทบกำลังเต็มกองพล กับผลัดที่ ๒ ส่วนที่ ๑ ได้มีการปฏิบัติการรบที่สำคัญดังนี้
ยุทธการบางปู
            พื้นที่ปฏิบัติการบางปู อยู่ทางทิศตะวันตกใกล้กับค่ายแบร์แคต ภูมิประเทศเป็นที่ลุ่มติดกับแม่น้ำดองไน มีลำน้ำสาขาแยกออกไปมากมาย ฝ่ายเวียดกงใช้เป็นเส้นทางลำเลียงกำลังพล และอาวุธยุทโธปกรณ์ โดยใช้เรือสำปั้นเป็นพาหนะ ลำเลียงไปเก็บรวบรวมไว้ในพื้นที่บางปู ซึ่งยังไม่เคยได้มีการกวาดล้างอย่างจริงจังมาก่อน
            กองพันทหารราบที่ ๒ สมทบด้วย กองร้อยทหารม้ายานเกราะที่ ๑ (หย่อน ๑ หมวด) ออกปฏิบัติการเมื่อ วันที่ ๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๑๓ ในขั้นต้นเวียดกงได้ต้านทานอย่างเหนียวแน่น เพราะได้สร้างที่มั่นแข็งแรงประกอบกับ ภูมิประเทศที่เป็นหลืบข้างลำน้ำ จึงยากแก่การค้นหา และทำลายด้วยอำนาจการยิง แม้จะยิงด้วยกระสุนวิถีโค้งก็ตาม
            ผลการปฏิบัติ ได้ปะทะกับเวียดกง ๖ ครั้ง สังหารเวียดกงได้ ๖ คน ทำลายที่กำบังปิดได้ ๘๓ แห่ง และยึดได้อาวุธยุทโธปกรณ์เป็นจำนวนมาก
ยุทธการ ๒๓๔
            กรมทหารราบที่ ๒ ได้มุ่งเน้นไปที่การปฏิบัติการสกัดกั้นไม่ให้เวียดกงกลับเข้าไปใช้ในพื้นที่ดังกล่าวได้อีก จึงได้จัดชุดซุ่มโจมตีทั้งทางบกและทางน้ำ รวมทั้งการใช้เครื่องมือกลซุ่มโจมตีอย่างกว้างขวาง นับตั้งแต่เดือน กุมภาพันธ์ ๒๕๑๓ เป็นต้นมา และตั้งแต่ ๒๑ มีนาคม - ๕ เมษายน ๒๕๑๓ ได้รับการสนับสนุนด้วยรถถังขนาดหนัก จากกองพันรถถังที่ ๒ กรมรถถังที่ ๓๔ สหรัฐฯ โดยมาขึ้นทางยุทธการกับกรมทหารราบที่ ๒ ประกอบกำลังเป็น ๔ ชุดรบ ทำให้การกวาดล้างเวียดกงเป็นไปอย่างได้ผลดี
            ผลการปฏิบัติ ฝ่ายเราปลอดภัย เวียดกงเสียชีวิต ๓๒ คน ทำลายที่กำบังได้ ๓๒๒ แห่ง อุโมงค์ ๑ แห่ง ยึดได้อาวุธยุทโธปกรณ์ เป็นจำนวนมาก
ยุทธการซุยคา
            จากการลาดตระเวนตรวจค้น และกวาดล้างที่ผ่านมาพบว่า ที่มั่นเวียดกงส่วนใหญ่อยู่ตามบริเวณสองฝั่งลำน้ำคา กรมทหารราบที่ ๒ จึงปฏิบัติการกวาดล้างเวียดกงบริเวณนี้ มีการปะทะกับฝ่ายเวียดกงถึง ๕ ชั่วโมง มีการใช้เฮลิคอปเตอร์ติดอาวุธ และปืนใหญ่สนับสนุน ทำให้สามารถทำลายที่มั่นเวียดกงได้ทุกแห่งที่พบ
            ผลการปฏิบัติ ได้ปะทะกับฝ่ายเวียดกง ๗ ครั้ง ทหารไทยบาดเจ็บ ๗ คน ทำลายที่มั่นปิดได้ ๑๘๘ แห่ง อุโมงค์ ๒ แห่ง ยึดได้อาวุธยุทโธปกรณ์เป็นจำนวนมาก
ยุทธการคีย์แมน
            กรมทหารราบที่ ๒ สืบได้ความชัดว่า มีหน่วยเวียดกงในระดับกองพันอยู่ ๒ หน่วย อยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของฐานบุลศักดิ์ ในบริเวณพื้นที่ประมาณ ๑๒ ตารางกิโลเมตร จึงได้กำหนดพื้นที่ปฏิบัติการครั้งนี้ว่า ลาดหญ้า ได้เริ่มปฏิบัติการตั้งแต่ ๒๔ สิงหาคม ๒๕๑๓ มีการใช้โครงการต้อนรับผู้กลับใจให้เป็นประโยชน์ ใช้การโจมตีทางอากาศ การใช้ปืนใหญ่ยิงสนับสนุนอย่างใกล้ชิด ใช้ชุดทหารช่างทำลาย ไปทำลายที่กำบังปิดของเวียดกง การปฏิบัติการสิ้นสุดเมื่อ ๓๐ สิงหาคม ๒๕๑๓
            ผลการปฏิบัติ ฝ่ายเราปลอดภัย เวียดกงเสียชีวิต ๓๔ คน ทำลายที่กำบังปิดได้ ๑๐๐ แห่ง ยึดอาวุธยุทโธปกรณ์ได้เป็นจำนวนมาก
ยุทธการทัมเทียน  (Tham Thien)
http://thaiheritage.net/nation/military/vietnam/vitnan19.jpg
            ในระหว่างฤดูการเก็บเกี่ยว การปฏิบัติของเวียดกงเป็นไปในลักษณะก่อกวนโดยทั่วไป และใช้หน่วยทหารช่างสังหารเข้าโจมตี การปฏิบัติการครั้งนี้ จึงเป็นการกวาดล้างเวียดกง ประจำเขตย่อยที่ ๔ ในพื้นที่ปฏิบัติการวศิน (AO Vasin) อยู่ทางตอนใต้บริเวณทิศตะวันออกของหมู่บ้านทัมเทียน ตั้งแต่ ๑ - ๖ ตุลาคม ๒๕๑๓ กรมทหารราบที่ ๒ จัดกำลัง ๓ กองร้อยอาวุธเบา ๑ กองร้อยทหารม้ายานเกราะ สนับสนุนด้วยชุดทหารช่างถากถางป่า และชุดทหารช่างทำลายจากกองร้อยทหารช่างเข้าปิดล้อม
            ผลการปฏิบัติ ฝ่ายเราปลอดภัย เวียดกงเสียชีวิต ๕ คน ทำลายที่กำบังปิดได้ ๓๐ แห่ง อุโมงค์ ๒ แห่ง ยึดอาวุธยุทโธปกรณ์ได้เป็นจำนวนมาก และยังได้ถากถางพื้นที่ที่เป็นป่าทึบ เพื่อสกัดกั้นการใช้ประโยชน์ของพวกเวียดกง
ยุทธการสายฟ้าแลบ (Thunderbolt)
            เป็นการปฏิบัติการในพื้นที่ปฏิบัติการศิรินทร์ (AO Sirin) อยู่เหนือลำน้ำคา บริเวณที่ลำน้ำบรรจบกัน ตั้งแต่ ๑๙ - ๒๑ ตุลาคม ๒๕๑๓ โดยใช้ ๒ หมวดทหารม้าลาดตระเวนทางอากาศเข้าตรวจค้นที่หมาย และใช้ ๒ กองร้อยอาวุธเบาเคลื่อนที่ทางอากาศเข้าสกัดกั้น และติดตามเวียดกง
            ผลการปฏิบัติ ฝ่ายเราปลอดภัย เวียดกงเสียชีวิต ๓๙ คน ทำลายที่กำบังปิดได้ ๕๐ แห่ง หลุมบุคคล ๙ หลุม อุโมงค์ ๑ แห่ง และยึดอาวุธยุทโธปกรณ์ได้เป็นจำนวนมาก
การผลัดเปลี่ยน และเดินทางกลับ
            กองพลทหารอาสาสมัคร ส่วนที่ ๒ ผลัดที่ ๒ ได้รับการผลัดเปลี่ยนจากผลัดที่ ๓ ส่วนที่ ๒ เมื่อต้นปี พ.ศ.๒๕๑๔ แล้วจึงได้เดินทางกลับประเทศไทย โดยเครื่องบินลำเลียงของกองทัพอากาศสหรัฐฯ เสร็จสิ้นเมื่อ ๑๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๑๔
บทเรียนจากการรบ และการสูญเสีย
            ผลการปฏิบัติการส่วนใหญ่เป็นการผสมของฝ่ายโลกเสรี มีการประสานอำนาจการยิงของปืนใหญ่ กับการทิ้งระเบิดโจมตีต่อที่หมายร่วมกัน ดำเนินกลยุทธ์ด้วยวิธีโอบดิ่งลงในบริเวณที่หมาย มีการป้องกันด้วยการลาดตระเวนตามลำน้ำเพื่อบีบให้เวียดกงอยู่ในพื้นที่จำกัด ทำให้สามารถตรึงเวียดกงให้อยู่กับที่ สะดวกแก่การทำลายของฝ่ายเรา
            การสูญเสียจากการรบ เสียชีวิต ๙๑ คน บาดเจ็บ ๑,๐๕๙ คน
            การสูญเสียทางธุรการ เสียชีวิต ๒๕ คน บาดเจ็บ ๑๖๖ คน ส่งกลับเนื่องจากความผิด ๔๙ คน หนีราชการ ๙ คน
            รวมทั้งสิ้น ๑,๓๙๙ คน
กองพลทหารอาสาสมัคร ผลัดที่ ๓
http://thaiheritage.net/nation/military/vietnam/vitnan20.jpg
            กองพลทหารอาสาสมัครที่ ๓ จัดตั้งเมื่อวันที่ ๑๕ ตุลาคม ๒๕๑๒ มีกำลังพลทั้งสิ้น ๑๑,๒๑๔ คน พลตรี เอื้อม  จิรพงค์  เป็นผู้บัญชาการ แบ่งออกเป็น ๒ ส่วน เช่นเดียวกับ ผลัดที่ ๑ และผลัดที่ ๒
            กองพลอาสาสมัคร ผลัดที่ ๓ ส่วนที่ ๑ มีกำลังพลทั้งสิ้น ๕,๕๔๐ คน เปิดกองบัญชาการกองพลชั่วคราวที่กรมยุทธศึกษาทหารบก ระหว่าง ๑๖ ธันวาคม ๒๕๑๒ - ๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๑๓ และได้เคลื่อนย้ายไปเข้าที่ตั้งถาวรในค่ายกาญจนบุรี เมื่อวันที่ ๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๑๓ แล้วเริ่มเรียกพลเข้าที่รวมพลเพื่อทำการฝึกหลักทั้ง ๕ ขั้น ตามที่กองทัพบกกำหนด
            กองพลทหารอาสาสมัคร ผลัดที่ ๓ ส่วนที่ ๑  ออกเดินทางไปเวียดนามด้วยเครื่องบินลำเลียงแบบ C - ๑๓๐ ของกองทัพอากาศสหรัฐฯ เสร็จสิ้นเมื่อ ๑๔ สิงหาคม ๒๕๑๓ ในขั้นต้นคงขึ้นอยู่ในความควบคุมทางยุทธการของกองทัพสนามที่ ๒ สหรัฐฯ ต่อมาเมื่อ ๑๔ เมษายน ๒๕๑๔  กองทัพสนามที่ ๒ สหรัฐฯ ได้แปรสภาพหน่วยเป็นหน่วยบัญชาการช่วยเหลือประจำภาคที่ ๓  (III Regional Assistance Command : TRAC) จึงได้เปลี่ยนเป็นขึ้นควบคุมทางยุทธการของหน่วยนี้แทน และยังคงได้รับมอบภารกิจหลัก ๓ ประการ เช่นเดียวกับผลัดที่ ๑ และผลัดที่ ๒ และได้รับมอบภารกิจเฉพาะบางประการเพิ่มเติม เช่นให้ความคุ้มครองปลอดภัย สนับสนุนโครงการเสริมสร้างสันติสุขของรัฐบาลเวียดนามใต้ และควบคุมทรัพยากรแก่หมู่บ้านต่าง ๆ
            พื้นที่รับผิดชอบ คือพื้นที่รับผิดชอบทางยุทธวิธี ในเขตอำเภอลองถั่น กับพื้นที่บางส่วนทางด้านเหนือ ในเขตอำเภอดึ๊กตู จังหวัดเบียนหว่า และพื้นที่ทางด้านตะวันออกของอำเภอชวนล็อค จังหวัดลองคานห์ รวมพื้นที่ประมาณ ๖๓๐ ตารางกิโลเมตร
            การปฏิบัติการรบไม่มีความรุนแรงเหมือนผลัดที่ ๑ และผลัดที่ ๒ เพราะเวียดกงได้อ่อนกำลังลงมากแล้ว ส่วนใหญ่จึงเป็นการรบย่อย ๆ ระดับหน่วยทหารขนาดเล็ก ในลักษณะการลาดตระเวน ค้นหา และทำลายกำลังเวียดกง
การรบในฤดูฝน (กรกฎาคม - พฤศจิกายน ๒๕๑๓)
http://thaiheritage.net/nation/military/vietnam/vitnan21.jpg
            สภาพดินฟ้าอากาศ ในฤดูฝนเกื้อกูลต่อการปฏิบัติการของฝ่ายเวียดกง ในขณะเดียวกันก็ไม่เกื้อกูลต่อฝ่ายเรา เพราะการสนับสนุนทางอากาศจะถูกจำกัด
            ในการปฏิบัติการในฤดูฝน ได้แก่การปิดล้อม ตรวจค้น ค้นหา และทำลายแหล่งส่งกำลังบำรุงที่สำคัญของเวียดกงทุกพื้นที่รับผิดชอบ และใช้หน่วยทหารขนาดเล็กเข้าปฏิบัติการรบด้วยการรุก การซุ่มโจมตี การตีโฉบฉวยควบคู่ไปกับการปฏิบัติการด้านการเมือง ของชุดปฏิบัติการจิตวิทยา และการช่วยเหลือประชาชน
การรบในฤดูแล้ง (ธันวาคม - เมษายน ๒๕๑๔)
            ในปลายฤดูฝน ฝ่ายเราสามารถเป็นฝ่ายริเริ่มเข้าปฏิบัติการทั่วทุกพื้นที่อย่างต่อเนื่อง และเป็นฝ่ายได้เปรียบเวียดกง ทั้งทางด้านการทหาร และด้านการเมือง ได้ขยายผลการปฏิบัติการอย่างกว้างขวาง โดยได้ปฏิบัติการร่วมกับกำลังฝ่ายโลกเสรีในลักษณะผสม เช่นแผนยุทธการเยลโล แจ็กเก็ต ๑ ระหว่าง ๑๙ - ๒๓ ธันวาคม ๒๕๑๓ แผนยุทธการเยลโล แจ็กเก็ต ๒ ระหว่าง ๑๔ - ๑๙ มกราคม ๒๕๑๔ แผนยุทธการเยลโลแจ็คเก็ต ๓ ระหว่าง ๒๓ - ๒๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๑๔ และแผนยุทธการไทยแอม ระหว่าง ๗ - ๒๓ มีนาคม ๒๕๑๔
การถอนกำลังกลับประเทศไทย
            ตามข้อตกลงระหว่างรัฐบาลไทย กับรัฐบาลเวียดนามใต้ให้กองกำลังทหารไทย เริ่มถอนกำลังออกจากเวียดนามใต้ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม ๒๕๑๔ เป็นต้นไป กองพลทหารอาสาสมัคร ผลัดที่ ๓ ส่วนที่ ๑ ซึ่งได้รับอนุมัติจากกองทัพบกจึงเตรียมการถอนกำลัง ตั้งแต่เดือน มิถุนายน ๒๕๑๔ โดยแบ่งการเคลื่อนย้ายออกเป็น ๔ ส่วน และในวันที่ ๒๒ มิถุนายน ๒๕๑๔ กองพลทหารอาสาสมัคร ผลัดที่ ๓ ส่วนที่ ๑ ก็ได้ส่งมอบความรับผิดชอบทางยุทธการให้กับ ผลัดที่ ๓ ส่วนที่ ๒
            การเดินทางกลับใช้เครื่องบินลำเลียงแบบ C - ๑๓๐ ของกองทัพอากาศสหรัฐฯ  เสร็จสิ้นเมื่อ วันที่ ๒๓ สิงหาคม ๒๕๑๔
กองพลทหารอาสาสมัคร ผลัดที่ ๓ ส่วนที่ ๒
http://thaiheritage.net/nation/military/vietnam/vitnan22.jpg

            จัดตั้งขึ้นเมื่อ ๑๗ มิถุนายน ๒๕๑๓ มีกำลังพล ๕,๙๓๔ คน ได้เปิดหลักสูตรอบรมเจ้าหน้าที่โดยรวม ๑๗ หลักสูตร ตั้งแต่วันที่ ๑๓ กรกฎาคม ๒๕๑๓ ได้ทำการฝึกหลักที่ค่ายกาญจนบุรี โดยแบ่งการฝึกออกเป็น ๔ ขั้น ตั้งแต่การฝึกบุคคลทำการรบ การฝึกเป็นหมู่ตอนหมวด การฝึกเป็นกองร้อย และการฝึกเป็นกองพัน
            การเดินทางไปผลัดเปลี่ยนแบ่งออกเป็น ๓ ส่วน เดินทางโดยเครื่องบินลำเลียง แบบ C - ๑๓๐ ของกองทัพอากาศสหรัฐฯ เสร็จสิ้นเมื่อ ๑๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๑๔ และได้รับมอบภารกิจให้รับผิดชอบ โดยให้ปฏิบัติการในพื้นที่ทางด้านตะวันออกของอำเภอชวนล็อค จังหวัดลองคานห์ ซึ่งเดิมเป็นพื้นที่ของหน่วยทหารสหรัฐฯ แต่ได้ถอนกำลังออกไปแล้ว
            การปฏิบัติการรบไม่ได้ทำการรบครั้งใหญ่ เช่นเดียวกับผลัดก่อน ๆ อย่างไรก็ตามด้วยความริเริ่มโดยใช้ยุทธวิธีง่าย ๆ จึงทำให้ฝ่ายเวียดกงต้องแก้ปัญหาอยู่เสมอ เช่นใช้วิธีปะทะเพื่อให้ทราบที่ตั้งของฝ่ายเวียดกง แล้วถอนตัวห่างออกมาจากแนวปะทะ เพื่อให้เครื่องบินทิ้งระเบิด และปืนใหญ่ระดมยิง กับให้เฮลิคอปเตอร์ติดอาวุธโจมตีด้วยจรวด และปืนกลอากาศทำลายกำลังเวียดกงแล้วจึงเข้าไปตรวจค้น ทำให้บรรลุภารกิจทุกครั้ง
การปฏิบัติการรบของกองร้อยจู่โจม  (๑๕ - ๑๘ เมาายน ๒๕๑๔)
http://thaiheritage.net/nation/military/vietnam/vitnan23.jpg
            ชุดจู่โจมของกองร้อยจู่โจมได้รับมอบภารกิจให้ทำการลาดตระเวนค้นหา และทำลายข้าศึก ที่หลบซ่อนตัวอยู่ทางทิศใต้ของลำน้ำคา ในเขตพื้นที่ปฏิบัติการวศิน การปฏิบัติของชุดจู่โจม เริ่มตั้งแต่วันที่ ๑๕ เมษายน ๒๕๑๔ โดยเคลื่อนย้ายทางเฮลิคอปเตอร์ไปลงในพื้นที่ปฏิบัติการ และแทรกซึมเข้าไป วันต่อมาได้กระจายกำลังเข้าค้นหา และทำลายข้าศึก การปะทะเป็นไปอย่างรุนแรง ส่วนหนึ่งได้เข้ารบประชิดด้วยอาวุธประจำกาย และทำการร้องขอการโจมตีทางอากาศอย่างเร่งด่วน และขอรับการยิงสนับสนุนจากปืนใหญ่
            ผลการปฏิบัติ ฝ่ายเราบาดเจ็บ ๓ คน ฝ่ายเวียดกงเสียชีวิต ๘ คน ทำลายที่กำบังได้ ๘ แห่ง ยึดอาวุธยุทโธปกรณ์เป็นจำนวนมาก
การปฏิบัติการของชุดเพชฌฆาตสังหาร  (๑๗ - ๑๘ สิงหาคม ๒๕๑๔)
            เป็นการใช้หน่วยดำเนินกลยุทธ์เป็นหน่วยทหารขนาดเล็ก ซึ่งจัดตั้งขึ้นเป็นการภายใน มีภารกิจในการซุ่มโจมตี สามารถปฏิบัติการโดยไม่ต้องส่งกำลังเพิ่มเติมเป็นระยะเวลา ๓ - ๔ วัน เริ่มปฏิบัติการตั้งแต่เดือนกรกฎาคม ๒๕๑๔ เป็นต้นมา สามารถสังหาร และจับเชลยศึกได้มากที่สุด เมื่อเทียบกับหน่วยอื่นในระดับกองร้อยอาวุธเบาด้วยกัน
            การปฏิบัติการ เมื่อ ๑๗ สิงหาคม ชุดเพชฌฆาตสังหาร ได้เคลื่อนย้ายกำลังทางอากาศแทรกซึมเข้าไปในพื้นที่ปฏิบัติการ ซึ่งเป็นป่ารกทึบ ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของพื้นที่ปฏิบัติการจิระ ต่อมาวันรุ่งขึ้นได้พบกับกำลังทหารประจำการของเวียดนามเหนือ จึงได้เข้าโจมตีข้าศึกเสียชีวิต ๖ คน
การถอนกำลังกลับประเทศไทย
            เมื่อปฏิบัติการได้ครบ ๑ ปีแล้ว กองทัพบกได้มีคำสั่งให้ถอนกำลังทั้งหมดกลับประเทศไทย โดยได้เริ่มเคลื่อนย้ายกำลังพลเป็นส่วน ๆ เดินทางโดยเครื่องบินลำเลียงของกองทัพอากาศสหรัฐฯ  ตั้งแต่เดือนมกราคม ๒๕๑๕ และเสร็จสิ้นในเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๑๕
อิสริยาภรณ์ และเหรียญตราที่ได้รับ
http://thaiheritage.net/nation/military/vietnam/vitnan24.jpg
            กำลังพลในกองพลทหารอาสาสมัครที่ ๓ ได้รับอิสริยาภรณ์และเหรียญตรา จากสหรัฐฯ และเวียดนามใต้ จากการปฏิบัติการรบในสงครามเวียดนาม จำนวน ๙๐๐ คน จากสหรัฐฯ ๗๙๒ คน จากเวียดนามใต้ ๑๐๘ คน
            กองพลทหารอาสาสมัคร ผลัดที่ ๓ นับเป็นกำลังรบทางบกของไทยหน่วยสุดท้าย ที่ปฏิบัติการรบในสงครามเวียดนาม รวมระยะเวลาที่ประเทศไทยส่งกำลังทางบกไปปฏิบัติการร่วมกับ กำลังฝ่ายโลกเสรีในเวียดนามใต้ ตั้งแต่เดือน กันยายน ๒๕๑๑ จนถึงเดือน กุมภาพันธ์ ๒๕๑๕ รวมเวลา ๓ ปี ๔ เดือน เกียรติประวัติของกองพลเสือดำ ยังเป็นที่จดจำของชาวเวียดนาม และกองกำลังฝ่ายโลกเสรีที่ร่วมปฏิบัติการในสงครามเวียดนาม ในความกล้าหาญอดทน เสียสละ และความสามารถในการรบของทหารไทย เพื่อธำรงไว้ซึ่งความมั่นคงปลอดภัยของประเทศเพื่อนบ้าน และผดุงไว้ซึ่งสันติสุขของภูมิภาค

หน่วยเรือซีฮอร์ส
http://thaiheritage.net/nation/military/vietnam/vitnan25.jpg
            เมื่อคณะรัฐมนตรี ลงมติเมื่อ ๔ พฤษภาคม ๒๕๐๙ อนุมัติหลักการให้ความช่วยเหลือทางทหารแก่รัฐบาลเวียดนามใต้เพิ่มเติม โดยให้กองทัพเรือจัดส่งเรือไปร่วมปฏิบัติการลำเลียง และเฝ้าตรวจบริเวณชายฝั่ง เพื่อป้องกันการแทรกซึมทางทะเล กองทัพเรือจึงได้จัดตั้งหน่วยเรือซีฮอร์ส (Sea Horse Element) ขึ้น ประกอบด้วยเรือหลวงพงัน ซึ่งเป็นเรือยกพลขึ้นบก กับเรือ ต.๑๒ ซึ่งเป็นเรือตรวจการณ์ใกล้ฝั่งไปปฏิบัติการ ได้ออกเดินทางจากประเทศไทยเมื่อ ๗ ธันวาคม ๒๕๐๙ เมื่อถึงเวียดนามแล้ว เรือทั้งสองลำได้แยกกันไปปฏิบัติการ ในสายการบังคับบัญชาทางยุทธการตามภารกิจ

เรือหลวงพงัน
            เรือหลวงพงันมีกำลังพล ๑๕๖ คน มีการผลัดเปลี่ยนกำลังพลเป็นจำนวนกึ่งหนึ่งทุก ๖ เดือน รวมทั้งหมดมี ๕ ชุด แต่ละชุดมี ๒ ผลัด เริ่มตั้งแต่ ๗ ธันวาคม ๒๕๐๙ ถึง ๑๗ พฤษภาคม ๒๕๑๕
การปฏิบัติการ
            เรือหลวงพงันปฏิบัติงานอยู่ในความควบคุมทางยุทธการของหน่วยบริการขนส่งทางทะเลทางทหาร ของสหรัฐฯ ประจำกรุงไซ่ง่อน และได้รับมอบภารกิจให้ปฏิบัติการลำเลียงสิ่งอุปกรณ์ อาวุธยุทโธปกรณ์ และกำลังพล ตลอดจนเสบียงอาหาร จากคลังใหญ่ไปตามเมืองต่าง ๆ ในเวียดนามใต้
            ระหว่างการเดินทาง เจ้าหน้าที่ประจำเรืออาจจะต้องประจำสถานีรบตลอดเวลา พร้อมที่จะตอบโต้การโจมตีของเวียดกง และยิงทำลายทุ่นระเบิดขาดลอย หรือสิ่งที่สงสัยว่าจะเป็นทุ่นระเบิดตามเส้นทางเดินเรือ การเดินเรือดำเนินไปโดยอิสระ ไม่มีขบวนคุ้มกัน มีแต่เรือรบสหรัฐฯ และเวียดนามใต้ที่แล่นลาดตระเวนอยู่ตามพื้นที่ต่าง ๆ เท่านั้น เมื่อเรือเดินทางถึงปลายทางก็จะเข้าจอดตามตำบลที่กำหนด เพื่อขนถ่ายสิ่งของลง และบรรทุกสิ่งของที่จะส่งไปยังเมืองท่าที่กำหนด เช่น ดานัง กวินอน ญาตรัง วุงโร ฟานรัง ฟานเทียด ญาเบ อันทอย วุงเตา คานโถ และอ่าวคัมรานห์ เป็นการเดินทางไปทั่วน่านน้ำของเวียดนามใต้ตั้งแต่เมืองดานัง จนถึงเกาะฟูก๊ก กับเมืองสำคัญตามลำน้ำโขง เช่นเมืองคานโถ เป็นต้น
            การจอดเรือ ณ เมืองท่าต่าง ๆ จะต้องทิ้งระเบิดลงน้ำทุกๆ ๕-๑๐ นาที เพื่อป้องกันหน่วยจู่โจมใต้น้ำของเวียดกง ลอบนำระเบิดมาทำลายเรือ การเดินทางในแม่น้ำอาจถูกทุ่นระเบิดที่ข้าศึกวางไว้ หรือถูกซุ่มโจมตี ตลอดจนถูกยิงด้วยจรวดอาร์พีจี ของเวียดกงจากสองฝั่งแม่น้ำได้
            การปฏิบัติการระหว่าง ปี พ.ศ. ๒๕๑๐ - ๒๕๑๕ ที่สำคัญ ๆ มีดังนี้
            ๑๓ พฤษภาคม ๒๕๑๐  เวลาประมาณ ๐๑.๑๐ น. เรือหลวงพงันพร้อมด้วยเรือฝ่ายเดียวกันอีก ๓ ลำ ไปเกยหาดที่จุดขนถ่ายที่เมืองท่าจูไล ได้ถูกเวียดกงระดมยิงจากฝั่งตรงข้ามด้วยปืนไร้แรงสะท้อน และเครื่องยิงลูกระเบิด ฝ่ายเราได้ยิงโต้ตอบโดยทหารสหรัฐฯ บนฝั่ง และบนเรือตรวจฝั่ง พร้อมกับให้เฮลิคอปเตอร์ทิ้งพลุส่องสว่าง และฉายไฟไปยังตำบลที่สงสัยว่า จะเป็นที่ตั้งของฝ่ายเวียดกง ปรากฏว่าฝ่ายเราเสียหายเล็กน้อย
            ๗ พฤษภาคม ๒๕๑๑  เวลา ๑๑.๕๔ น. ขณะที่เรือหลวงพงัน แล่นอยู่ในร่องน้ำบริเวณสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขง จากเมืองคานโถไปเมืองวุงเตา ได้ถูกเวียดกงโจมตีด้วยจรวดบาซูก้า ขนาด ๗๕ มิลลิเมตร จำนวน ๕ นัด จากระยะประมาณ ๙๐ เมตร เรือหลวงพงันต่อสู้ด้วยปืนเรือ ๔๐/๖๐ มิลลิเมตรแท่นคู่ และปืนกล .๕๐ คาลิเบอร์ ฝ่ายเวียดกงถอยกลับไป เรือหลวงพงันถูกกระสุนจรวด ๑ นัด ทางกราบซ้ายใกล้แนวน่านน้ำบริเวณกลางลำเป็นรูทะลุ เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ ๖ นิ้ว และฉีกเป็นแนวยาวประมาณ ๑ ฟุต หน่วยควบคุมความเสียหาย ได้ทำการซ่อมอย่างรีบด่วน และสามารถนำเรือกลับได้อย่างปลอดภัย
            ๑๓ ธันวาคม ๒๕๑๓  เวลา ๑๓.๐๒ น. เรือหลวงพงันออกเดินทางจากเมืองคานโปไปยังเมืองท่าวุงเตา ได้ถูกข้าศึกโจมตีด้วยจรวด ๑ นัด แต่กระสุนไประเบิดทางกราบขวาท้ายเรือ ห่างประมาณ ๙๐ เมตร
            เรือหลวงพงันได้เข้าซ่อมใหญ่ที่ฐานทัพเรือสหรัฐฯ ที่เกาะกวม ตั้งแต่ ๑ ตุลาคม ๒๕๑๑ ถึง กุมภาพันธ์ ๒๕๑๒ และเดินทางกลับไปปฏิบัติการตามภารกิจต่อไป เมื่อ ๑๕ เมษายน ๒๕๑๒

เรือ ต.๑๒
http://thaiheritage.net/nation/military/vietnam/vitnan26.jpg
            เรือ ต.๑๒  มีกำลังพล ๓๒ คน มีการผลัดเปลี่ยนกำลังพลเป็น ๔ ชุด แต่ละชุดมี ๒ ผลัด ตั้งแต่ ๗ ธันวาคม ๒๕๐๙ ถึง ๑๑ พฤษภาคม ๒๕๑๔
            เรือ ต.๑๒  ปฏิบัติงานอยู่ในความควบคุมทางยุทธการของกองเรือเฉพาะกิจ ที่ ๑๑๕ สหรัฐฯ  ตั้งแต่ ๗ ธันวาคม ๒๕๐๙ ต่อมาเมื่อ ๑ มิถุนายน ๒๕๑๒ ทัพเรือสหรัฐฯ ได้โอนหมวดเรือเฉพาะกิจที่ ๑๑๕.๔ ให้กับกองทัพเรือเวียดนามใต้ และพิจารณาย้ายเรือ ต.๑๒ ไปขึ้นในความควบคุมทางยุทธการของหมวดเรือเฉพาะกิจที่ ๑๑๕.๓ (Task Group ๑๑๕.๓) ในเดือนกันยายน ๒๕๑๓ ทัพเรือสหรัฐฯ ได้โอนหมวดเรือเฉพาะกิจที่ ๑๑๕.๓ ไปให้กองทัพเรือเวียดนามใต้อีก และให้เรือ ต.๑๒ ไปขึ้นในความควบคุมทางยุทธการ ของหมวดเรือเฉพาะกิจที่ ๑๑๕.๖  ซึ่งกำหนดให้เรือ ต.๑๒  ปฏิบัติการเป็นหน่วยเรือเฉพาะกิจที่ ๑๑๕.๖.๖ และสุดท้ายในเดือนมกราคม ๒๕๑๔ ได้ให้เรือ ต.๑๒  ปฏิบัติการเป็นหน่วยเรือเฉพาะกิจที่ ๑๑๕.๖.๕
            เรือ ต.๑๒  มีหน้าที่ลาดตระเวน ค้นหา และเฝ้าตรวจชายฝั่งทะเลเวียดนามใต้ เพื่อป้องกันการแทรกซึมของฝ่ายคอมมิวนิสต์ทางทะเล ตามแผนยุทธการ มาร์เก็ตไทม์ (Market Time Operation)
พื้นที่ปฏิบัติการ
            แนวเขตชายฝั่งทะเลที่อยู่ในความรับผิดชอบของกองเรือเฉพาะกิจที่ ๑๑๕ มีความยาว ๑,๘๗๕ กิโลเมตร แบ่งพื้นที่ปฏิบัติการลาดตระเวน ป้องกันการแทรกซึมของข้าศึกเป็น ๙ เขตใหญ่ แต่ละเขตยังแบ่งเป็นพื้นที่ชายฝั่ง (Inshore) และพื้นที่นอกฝั่ง (Offshore) โดยถือแนวเส้นทะเลอาณาเขต (๑๒ ไมล์จากฝั่ง) เป็นเส้นแบ่งเขตโดยประมาณ และพื้นที่ชายฝั่งยังแบ่งออกเป็นพื้นที่ย่อย ๆ ควบคุมแนวชายฝั่ง ประมาณ ๒๐ ไมล์ พื้นที่ทั้งหมดเรียกว่าพื้นที่รับผิดชอบตรวจการณ์เป็นพิเศษ (Market Time Surreillance Area)
การปฏิบัติการที่สำคัญ
http://thaiheritage.net/nation/military/vietnam/vitnan27.jpg
            ๘ เมษายน ๒๕๑๓  เวลา ๑๑.๓๐ น. หน่วยทหารบนฝั่งแจ้งว่า เวียดกงได้ยิงเครื่องบินตรวจการณ์ จึงขอให้เรือ ต.๑๒ ร่วมกับเรือตรวจการณ์ใกล้ฝั่งของสหรัฐฯ ระดมยิงทำลายที่ตั้ง และกำลังของเวียดกง เรือ ต.๑๒ ได้เริ่มทำการยิงไปยังที่หมายที่ได้รับรายงาน ด้วยปืนขนาด ๔๐ มิลลิเมตร  และปืนกลขนาด ๒๐ มิลลิเมตร ฝ่ายเวียดกงได้ยิงโต้ตอบแต่ไม่ถูก จากการตรวจตำบลกระสุนตกของเครื่องบินตรวจการณ์ แจ้งว่าเรือ ต.๑๒ ยิงทำลายถูกที่หมายดีมาก
            ต่อมาในคืนวันเดียวกันขณะที่เรือ ต.๑๒ แล่นอยู่ในแม่น้ำฮากลางเพื่อเดินทางกลับฐาน ได้รับคำร้องขอจากหน่วยปฏิบัติการรบพิเศษบนบกของสถานีชายฝั่งที่ ๓๖ ว่า สืบพบกองกำลังเวียดกง รวมกำลังอยู่ในที่หมาย ๓ แห่งริมแม่น้ำ เรือ ต.๑๒ จึงยิงปืนกลขนาด ๔๐ มิลลิเมตรไปตามคำขอ
            ๙ เมษายน ๒๕๑๓  เรือ ต.๑๒ ได้ปฏิบัติการร่วมกับเรือตรวจการณ์ใกล้ฝั่งสหรัฐฯ ในหน่วยเรือของศูนย์ควบคุมการปฏิบัติงานชายฝั่ง ระดมยิงกองโจรที่ซ่องสุมกำลังกันอยู่บริเวณสองฝั่งคลอง มี่ทานห์ ซึ่งกว้างประมาณ ๓๐๐ หลา  กระจายกันอยู่ในที่หมาย เรือ ต.๑๒ ได้ยิงปืนกลทุกขนาด ไปยังที่หมายทั้ง ๓ แห่ง อย่างจู่โจมทั้งเที่ยวไปและเที่ยวกลับ
            ๑๐ เมษายน ๒๕๑๓  เวลา ๑๐.๐๐ น. เรือ ต.๑๒ ได้รับคำร้องขอจากผู้บังคับหน่วยปฏิบัติในพื้นที่ลาดตระเวน ให้ปฏิบัติการร่วมกับเรือตรวจการณ์ชายฝั่งสหรัฐฯ ในคลองเคลมบังโก ซึ่งกว้าง ประมาณ ๑๐๐-๒๐๐ หลา สองฝั่งคลองมีเวียดกงหลบซ่อนอยู่เป็นจำนวนมาก การปฏิบัติการครั้งนี้ มุ่งหมายเพื่อการปฏิบัติการจิตวิทยาชักชวนพวกเวียดกง บนสองฝั่งคลองให้กลับใจยอมมอบตัว โดยเรือสหรัฐฯ ทำหน้าที่กระจายเสียงเป็นภาษาเวียดนาม ส่วนเรือ ต.๑๒ ทำหน้าที่คุ้มกัน
            ๑๗ เมษายน ๒๕๑๓  เรือ ต.๑๒ ปฏิบัติการตามแผนซีฮอร์ส ๑๗๓๒ ในพื้นที่อำเภอลองถั่น ร่วมกับเรือรักษาฝั่ง และเครื่องบินตรวจตำบลกระสุนตกของสหรัฐฯ โดยให้ผู้บังคับการเรือ ต.๑๒ เป็นผู้บังคับบัญชาควบคุมทางยุทธวิธี ภารกิจที่ได้รับคือการนำเรือเข้าไปตามลำน้ำต่าง ๆ ได้แก่ แม่น้ำลันเนือ แม่น้ำบาร์ตอง แม่น้ำลองชิม แม่น้ำไบดอน ผ่านออกไปทางคลองขุดคิมส์คานห์ชานห์โบ ทะลุออกแม่น้ำฮากลาง (แม่น้ำบาสัก) กำหนดให้ทำการยิงเป้าหมายต่าง ๆ ที่พบเห็นตลอดสองฝั่งคลอง และตามตำบลต่าง ๆ เวลา ๑๕.๒๐ น. ฝ่ายเวียดกงที่ซุ่มอยู่บนฝั่งห่างจากเรือประมาณ ๒๐ เมตร ได้ยิงจรวดอาร์พีจี ๓ นัด ทำให้เกิดการระเบิดในห้องเครื่อง และน้ำมันรั่ว เกิดการระเบิดและเพลิงไหม้ แต่เรือ ต.๑๒ สามารถดับเพลิงได้อย่างรวดเร็ว
สรุปการปฏิบัติของหน่วยเรือซีฮอร์ส
            เรือหลวงพงัน  ปฏิบัติการในเวียดนามใต้ ตั้งแต่วันที่ ๗ ธันวาคม ๒๕๐๙ จนถึงวันที่ ๑๗ พฤษภาคม ๒๕๑๕ รวมเวลา ๕ ปี ๕ เดือนเศษ ได้ลำเลียงขนส่งอุปกรณ์ อาวุธยุทโธปกรณ์ ทหารและเสบียงอาหาร คิดเป็นน้ำหนักบรรทุก ๗๗,๖๐๐ ตัน ระยะทางเดินเรือ ๗๐,๕๐๐ ไมล์  ปฏิบัติการจิตวิทยา ๑๓ ครั้ง ถูกเวียดกงโจมตี ๒ ครั้ง ได้รับความเสียหายเล็กน้อย ๑ ครั้ง ทหารทุกคนปลอดภัย
            เรือ ต.๑๒  ปฏิบัติการในเวียดนามใต้ ตั้งแต่วันที่ ๗ ธันวาคม ๒๕๐๙ ถึงวันที่ ๑๑ พฤษภาคม ๒๕๑๔ รวมเวลา ๔ ปี ๕ เดือนเศษ ได้ตรวจพบเรือประมง ๓,๕๓๙ ลำ ตรวจสอบเรือประมง ๑,๔๓๓ ลำ ตรวจค้นเรือประมง ๒,๑๐๒ ลำ ระดมยิงฝั่ง ๖๔ ครั้ง ปฏิบัติการจิตวิทยา ๘ ครั้ง ถูกเวียดกงโจมตี ๒ ครั้ง ได้รับความเสียหายเล็กน้อย ๑ ครั้ง ทหารทุกคนปลอดภัย
หน่วยบินวิคตอรี
http://thaiheritage.net/nation/military/vietnam/vitnan28.jpg
            คณะรัฐมนตรีได้ลงมติรับหลักการ ให้ความช่วยเหลือทางทหาร แก่รัฐบาลเวียดนามใต้ เมื่อ ๒๑ กรกฎาคม ๒๕๐๗ และอนุมัติให้กองทัพอากาศจัดส่งนักบิน และช่างอากาศจำนวน ๑๖ คน ไปปฏิบัติการบินลำเลียงด้วยเครื่องบินลำเลียงแบบ C - ๔๗ ร่วมกับฝูงบินลำเลียงที่ ๔๑๓ กองบินน้อยที่ ๓๓ เวียดนามใต้ และต่อมาได้ย้ายไปร่วมปฏิบัติการร่วมกับฝูงบินลำเลียงที่ ๔๑๕ เวียดนามใต้
            กองทัพอากาศจึงได้จัดตั้งหน่วยบินลำเลียง โดยใช้นามรหัสหน่วยว่า หน่วยบินวิคตอรี (Victory Wing Unit)  มีนาวาอากาศตรี ไพโรจน์ สุกุมลจันทร์ เป็นผู้บังคับหน่วยคนแรก หน่วยบินวิคตอรี ออกเดินทางโดยเครื่องบินกองทัพอากาศ ออกจากประเทศไทย เมื่อ ๑๔ กันยายน ๒๕๐๗ นับเป็นหน่วยทหารไทยหน่วยแรก ที่ไปปฏิบัติการในเวียดนามใต้
            ต่อมาคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อ ๔ พฤษภาคม ๒๕๐๙ อนุมัติหลักการให้ความช่วยเหลือเพิ่มเติมแก่เวียดนามใต้ และมีมติให้กองทัพอากาศจัดส่ง เครื่องบินลำเลียงแบบ C - ๑๒๓ จำนวน ๒ เครื่องที่กองทัพอากาศสหรัฐฯ มอบให้ไปกับหน่วยบินวิคตอรี กับให้จัดนักบิน และช่างอากาศสำหรับปฏิบัติการบินกับเครื่องบิน กับเครื่องบินลำเลียงแบบ C - ๔๗ ต่อไป สำหรับเครื่องบินลำเลียงแบบ C - ๑๒๓ ได้เริ่มปฏิบัติการ เมื่อ ๒๔ กรกฎาคม ๒๕๐๙ โดยขึ้นในความควบคุมทางยุทธการของกองบินใหญ่ลำเลียงทางอากาศยุทธวิธีที่ ๓๑๕ สหรัฐฯ (๓๑๕th Air tactical Airlift Wing)
            หน่วยบินวิคตอรี  มีกำลังพลตามอัตรา ๕๔ คน ในรอบปีจะมีการผลัดเปลี่ยน ๓ ครั้ง ในเดือนเมษายน สิงหาคม และธันวาคม นับตั้งแต่เดือน กันยายน ๒๕๐๗ ถึงเดือนธันวาคม ๒๕๑๔ มีการผลัดเปลี่ยน ๗ ชุด ๆ ละ ๓ ผลัด
            หน่วยบินวิคตอรีตั้งอยู่ที่ฐานทัพอากาศตันซอนนุทในกรุงไซ่ง่อน และแบ่งออกเป็น ๒ ชุด เจ้าหน้าที่ และเครื่องบินแบบ C - ๔๗ ขึ้นในความควบคุมทางยุทธการของฝูงบินลำเลียงที่ ๔๑๕ ของเวียดนามใต้ ส่วนเจ้าหน้าที่และเครื่องบินแบบ C - ๑๒๓ ขึ้นในความควบคุมทางยุทธการของฝูงบินสนับสนุนทางยุทธวิธีที่ ๑๙  ของสหรัฐฯ
ภารกิจและพื้นที่ปฏิบัติการ
http://thaiheritage.net/nation/military/vietnam/vitnan29.jpg
            หน่วยบินวิคตอรีได้รับมอบภารกิจในการบินลำเลียงทหาร การส่งทางอากาศ (Airborne) การเคลื่อนย้ายทางอากาศ (Air Movement) ตลอดจนการส่งกำลังบำรุงทั้งปวง ปฏิบัติตามคำสั่งหรือคำขอเพื่อบินไปยังสนามบินที่กำหนด การส่งกลับ (Evacuation) ตลอดจนลำเลียงเสบียงอาหารไปส่งให้หน่วยทหาร ปฏิบัติการบินลาดตระเวนหาข่าว หรือภาพถ่ายทางอากาศ
            พื้นที่ปฏิบัติการกระจายไปทั่วเวียดนามใต้ ตั้งแต่เส้นขนานที่ ๑๗ ลงมาจนถึงแหลมคาเมาหรือแหลมญวน รวมไปถึงเกาะต่าง ๆ ในทะเลซึ่งอยู่ในเขตน่านน้ำเวียดนามใต้
การปฏิบัติการ
            หน่วยบินวิคตอรีแบ่งชุดบินออกเป็น ๒ ชุดคือ ชุดบินกลางวัน และชุดบินกลางคืน
            ชุดบินกลางวัน  ส่วนมากจะปฏิบัติการก่อนรุ่งเช้า บินไปยังสนามบินหรือตำบลต่าง ๆ ที่กำหนด เช่น ฐานทัพอากาศฟานรัง ญาตรัง หรือเบียนหว่า เป็นการบินลำเลียงทหาร การเคลื่อนย้ายทางอากาศ การส่งกำลังทางอากาศ ตลอดจนการส่งกำลังบำรุงทั้งปวง การส่งกลับ การปฏิบัติการด้านอิเลคทรอนิคส์ บางครั้งเป็นการลาดตระเวนหาข่าว หรือถ่ายภาพทางอากาศ นอกจากนั้นยังทำหน้าที่ในการยิงคุ้มกัน ให้แก่กำลังภาคพื้นดิน หรือยิงทำลายที่หมายทางพื้นดิน ปฏิบัติการช่วยเหลือประชาชน เช่น การลำเลียงพลเรือนอพยพ และผู้ลี้ภัย โดยใช้เครื่องบินลำเลียงแบบ C - ๔๗ เป็นหลัก ชุดบินกลางวันจะปฏิบัติงานตลอดทั้งวัน จนกระทั่งค่ำหรือทัศนวิสัยไม่ดี จึงกลับที่ตั้งประจำที่สนามบินตันซอนนุท
            ชุดบินกลางคืน  รับหน้าที่ต่อจากชุดบินกลางวันต่อไปตลอดคืน โดยบินไปเหนือเมืองหรือตำบลต่าง ๆ ที่กำหนดไว้ในคำสั่งหรือคำขอ เพื่อทิ้งพลุส่องสว่างแก่หน่วยตามภาคพื้นดินขณะปฏิบัติการรบ นอกจากนี้ยังต้องบินลาดตระเวนติดอาวุธอีกด้วย สำหรับเจ้าหน้าที่ชุดนี้จัดบินสำหรับเครื่องบินลำเลียงแบบ C - ๔๗ เท่านั้น
            การปฏิบัติของหน่วยบินวิคตอรี เป็นการปฏิบัติที่เสี่ยงอันตรายมาก ในชุดกลางวันไม่ได้ติดอาวุธใด ๆ คงติดอาวุธเฉพาะชุดบินกลางคืนเท่านั้น เมื่อต้องปฏิบัติการส่งกำลังทางอากาศ หรือทิ้งสิ่งของทางอากาศ ในพื้นที่บางแห่งที่จะต้องทิ้งลงขณะที่บินในระดับต่ำ เนื่องจากสภาพอากาศไม่ดี หรือภูมิประเทศทางเบื้องล่างจำกัด เพื่อทิ้งของให้ตรงเป้าหมาย หรือตามตำบลที่กำหนด เพราะถ้าผิดพลาดแล้วของที่ทิ้งลงไปอาจตกไปอยู่ในมือฝ่ายข้าศึกได้ และการบินต่ำทำให้พวกเวียดกง ซึ่งซ่อนตัวอยู่ตามต้นไม้บนเขายิงได้โดยง่าย นอกจากนั้นสนามบินบางแห่งก่อนหน้าที่จะออกเดินทาง ทราบแน่ชัดว่าเป็นของฝ่ายเรา แต่เมื่อไปถึงแล้วจึงพบว่าถูกข้าศึกยึดครอง นักบินต้องอาศัยไหวพริบปฏิภาณ และการสังเกตจากสิ่งบอกเหตุ หากพบว่าผิดสังเกตต้องรีบนำเครื่องขึ้นทันที แต่ถึงกระนั้นก็ยังถูกเวียดกงระดมยิงตามหลังอย่างหนาแน่น แต่พ้นระยะยิงหวังผล นักบินจึงนำเครื่องบินขึ้น และนักบินกลับอย่างปลอดภัยทุกครั้ง และแม้จะแน่ใจว่าเป็นฝ่ายเดียวกันก็ตาม นักบินจะไม่ดับเครื่องยนต์ขณะจอดส่งของ และเมื่อลำเลียงของขึ้นลงเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็จะนำเครื่องขึ้นทันทีเพื่อความปลอดภัย
http://thaiheritage.net/nation/military/vietnam/vitnan30.jpg
            เหตุการณ์เมื่อวันที่ ๒๖ พฤศจิกายน ๒๕๐๙  เจ้าหน้าที่หน่วยบินวิคตอรี ได้ปฏิบัติการร่วมกับทหารอากาศสหรัฐฯ ที่เมืองเต๋าเตียว ขณะที่นักบินนำเครื่องบินลำเลียงแบบ C - ๑๒๓ ขึ้นพ้นทางวิ่งไปได้เล็กน้อย ก็ถูกซุ่มยิงด้วยปืนกล จากฝ่ายเวียดกงอย่างหนาแน่น กระสุนเจาะทะลุลำตัวเครื่องบินหลายแห่ง ทำให้ถังเชื้อเพลิงเครื่องยนต์ฉีกขาด ระบบไฮดรอลิกเสียหาย เกิดไฟไหม้เข้าไปในห้องผู้โดยสาร นักบินและเจ้าหน้าที่ประจำเครื่องบินไม่ยอมสละเครื่องบิน แต่ร่วมมือกันพยายามแก้ไขสถานการณ์ บังคับเครื่องบินซึ่งอยู่ในสภาพบอบช้ำ ออกไปให้พ้นวิถีกระสุน และการติดตามของเวียดกง และได้นำเครื่องบินลงฉุกเฉินได้โดยสวัสดิภาพทุกคนปลอดภัย
            ตลอดเวลาที่หน่วยบินวิคตอรี ปฏิบัติงานในเวียดนามใต้นั้น มีกำลังพลที่ประสบอันตรายถึงชีวิตเพียง ๒ คน อันเกิดจากเครื่องบินชนภูเขาที่จังหวัดลัมดง ๑ นาย และเครื่องบินประสบอุบัติเหตุขณะวิ่งขึ้นจากสนามบินรักยา จังหวัดเบียนหว่าอีก ๑ ราย
            การปฏิบัติภารกิจขนส่งทางอากาศในแต่ละวันต้องปฏิบัติภารกิจตลอด ๒๔ ชั่วโมง นอกจากปฏิบัติงานตามภารกิจที่ได้รับมอบแล้ว ยังได้รับมอบภารกิจพิเศษอื่น ๆ เช่น การรับ - ส่ง บุคคลสำคัญไปตรวจสถานการณ์ต่างจังหวัด หรือการปฏิบัติการที่จะต้องใช้เครื่องบินโดยรีบด่วน ซึ่งหน่วยบินวิคตอรี สามารถปฏิบัติตามคำสั่งได้ภายในเวลา ๑ ชั่วโมง
            การปฏิบัติการของหน่วยบินวิคตอรี ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๐๙ จนกระทั่งถอนกำลังกลับประเทศไทย เมื่อเดือนธันวาคม ๒๕๑๔ นับว่าได้บรรลุผลสำเร็จด้วยดี การสูญเสียมีเพียงเครื่องบินถูกเวียดกงโจมตีได้รับความเสียหายเพียงเครื่องเดียว และกำลังพลเสียชีวิต ๒ คน ผลการปฏิบัติสรุปได้ดังนี้
                การลำเลียงขนส่งทางอากาศ                         ๑,๗๗๖    ภารกิจ
                จำนวนเที่ยวบิน                                             ๑๐,๒๔๔   เที่ยวบิน
                ขนส่งผู้โดยสาร                                          ๑๖๘,๒๙๔   คน
                บรรทุกอาวุธยุทโธปกรณ์ และเสบียง       ๒๔,๖๙๔   ตัน
            ผลการปฏิบัติทำให้กำลังพลทุกคนได้รับเหรียญตรา จากเวียดนามใต้ และสหรัฐฯ นอกเหนือไปจากเหรียญชัยสมรภูมิประดับเครื่องหมายเปลวระเบิด ดังนี้
                Armed Forces Medal (First Class , Second Class) ของเวียดนามใต้
                Distinguished Flying Cross ของสหรัฐฯ

การยุติสงครามเวียดนาม
            สงครามเวียดนามได้ดำเนินไปถึง ๗ ปี แต่สถานการณ์ต่าง ๆ ยังไม่กระเตื้องขึ้นแม้แต่น้อย มีแต่การสูญเสียชีวิต ทรัพย์สิน และความอดอยากยากแค้นไปทั่ว การรบไม่มีผลแพ้ชนะกันโดยเด็ดขาด ฝ่ายเวียดนามเหนือ และเวียดกงได้ดำเนินการรุกทางการเมือง ควบคู่ไปกับการทหาร ด้วยการลวงฝ่ายโลกเสรีว่าต้องการสันติภาพ และร้องขอให้มีการเจรจาสงบศึกขึ้นที่กรุงปารีส ได้มีการเจรจากัน ๑๔๖ ครั้ง ตั้งแต่เดือนตุลาคม ๒๕๑๑ จนถึงเดือน มกราคม ๒๕๑๕ เริ่มตั้งแต่สมัยประธานาธิบดี จอห์นสัน จนถึงสมัยประธานาธิบดี นิกสัน ของสหรัฐฯ แต่การเจรจาไม่มีผลคืบหน้า ฝ่ายเวียดนามเหนือ และเวียดกง จะถือโอกาสใช้ที่ประชุมเจรจาเป็นสถานที่โฆษณาชวนเชื่อ และเป็นที่น่าสังเกตว่าเมื่อใดที่ฝ่ายเวียดนามเหนือ และเวียดกงเพลี้ยงพล้ำในด้านการทหาร จะต้องเสนอขอเจรจาสันติภาพทันที เพื่อประวิงเวลาในการปรับกำลังทหารเข้าโจมตีเวียดนามใต้ใหม่ ในระหว่างปี พ.ศ. ๒๕๑๔ - ๒๕๑๕ ขณะที่สหรัฐฯ ประสบปัญหาภายในประเทศอย่างหนัก ทั้งภาวะเงินเฟ้อ ปัญหาคนว่างงาน และปัญหาการขาดแคลนน้ำมันภายในประเทศ ฝ่ายเวียดนามเหนือ และเวียดกงได้ฉวยโอกาส เพิ่มการปฏิบัติการทางจิตวิทยาในหมู่ประชาชนชาวอเมริกัน โดยชี้ให้เห็นว่าการที่สหรัฐฯ อยู่ในภาวะดังกล่าว เป็นผลสืบเนื่องมาจากการที่สหรัฐฯ ส่งทหารเข้าไปทำสงครามในเวียดนามถึง ๖๐๐,๐๐๐ คน และใช้งบประมาณ ปีละไม่ต่ำกว่า ๓๐,๐๐๐ ล้านเหรียญสหรัฐฯ ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๐๗ ถึงปี พ.ศ. ๒๕๑๔
            ผลการโฆษณาชวนเชื่อดังกล่าว ทำให้ประชาชนชาวอเมริกันเรียกร้องให้รัฐบาลถอนทหารออกจากเวียดนามใต้ และยุติการช่วยเหลือทั้งสิ้น โดยมีการเดินขบวนทั่วประเทศ เป็นผลให้รัฐสภาสหรัฐฯ ลงมติให้ถอนทหารอเมริกันออกจากเวียดนามใต้ พร้อมกับตัดทอนการช่วยเหลือแก่เวียดนามใต้ ประธานาธิบดีนิกสัน จำต้องเปลี่ยนนโยบายเกี่ยวกับเวียดนามใต้ และประกาศหลักการนิกสัน (Nixon's Doctrine) สหรัฐฯ ได้ดำเนินการถอนกำลังทหารออกจากเวียดนามใต้ และให้เวียดนามใต้ใช้โครงการช่วยเหลือตนเอง ในการป้องกันทหารทหาร (Vietnamization) โดยมอบอาวุธหลักให้เท่านั้น ด้วยเหตุนี้กำลังของฝ่ายโลกเสรีที่ส่งไปร่วมรบในเวียดนามใต้ จึงตัดสินใจถอนกำลังของชาติตนกลับเช่นกัน รวมทั้งประเทศไทย
            ประธานาธิบดีนิกสันได้แถลงนโยบายของสหรัฐฯ เพื่อให้เกิดสันติภาพขึ้นในเวียดนามใต้รวม ๘ ข้อด้วยกัน มีใจความว่า กำลังทหารทั้งหมดที่ไม่ใช่ของเวียดนามใต้ จะเริ่มถอนออกจากเวียดนามใต้เมื่อได้ตกลงเห็นชอบร่วมกันแล้ว การถอนจะถอนเป็นขั้น ๆ ภายใน ๑๒ เดือน กำลังเวียดนามเหนือที่อยู่ในเวียดนามใต้ ก็ต้องกลับไปเช่นเดียวกัน ให้คณะกรรมาธิการระหว่างประเทศ ที่ทั้งสองฝ่ายรับรองควบคุมดูแลการถอนทหารของทั้งสองฝ่าย ให้จัดการเลือกตั้งขึ้นตามวิธีการที่เห็นชอบร่วมกัน โดยให้อยู่ในความควบคุมดูแลของกรรมาธิการระหว่างประเทศ ให้มีการตกลงเกี่ยวกับการส่งคืนเชลยศึก และทุกฝ่ายจะต้องปฏิบัติตามอนุสัญญาเจนีวา พ.ศ. ๒๔๙๗ เรื่องเวียดนาม และกัมพูชา กับข้อตกลงเรื่องลาว พ.ศ. ๒๕๐๕
            สหรัฐฯ ได้เริ่มถอนทหารออกจากเวียดนามใต้ ตั้งแต่วันที่ ๘ กรกฎาคม ๒๕๑๒ เป็นต้นมา และกำลังรบชุดสุดท้ายได้เดินทางออกจากเวียดนาม เมื่อวันที่ ๑๑ สิงหาคม ๒๕๑๕ เหลือไว้เพียงเจ้าหน้าที่ทางธุรการเท่านั้น และเมื่อได้มีการลงนามในความตกลงสงบศึกสงครามเวียดนามที่กรุงปารีส ในเดือนมกราคม ๒๕๑๖ แล้ว ทหารสหรัฐฯ คนสุดท้ายได้เดินทางออกจากเวียดนามใต้ เมื่อวันที่ ๒๙ มีนาคม ๒๕๑๖
ยุทธศาสตร์เวียดนามเหนือ
            เวียดนามเหนือกำหนดแผนการเข้ายึดเวียดนามใต้   เพื่อรวมเป็นประเทศเดียวกัน   โดยแบ่งการดำเนินการเป็น ๓ ขั้นตอน คือ
                ๑.   เสริมสร้างความมั่นคงให้แก่เวียดนามเหนือ
                ๒.  ปลดแอกเวียดนามใต้
                ๓.   รวมเวียดนามทั้งสองส่วนเข้าด้วยกัน
            ในปี พ.ศ. ๒๕๑๔ เวียดนามเหนือประสบความสำเร็จในการจัดตั้งโครงสร้างทางการเมืองภายใน (Infrastructure) ในเวียดนามใต้อย่างต่อเนื่อง
            ในปลายปี พ.ศ. ๒๕๑๔ เวียดนามใต้พัฒนาระบบการส่งกำลังบำรุงทั้งในลาวใต้ และกัมพูชาโดยเฉพาะอย่างยิ่งเส้นทางโฮจิมินห์ เพิ่มความรุนแรงในการปฏิบัติการทางทหาร จากระดับเดิมมากยิ่งขึ้นโดยส่งกำลังและอาวุธยุทโธปกรณ์ แทรกซึมเข้าไปในเวียดนามใต้ รวมทั้งเคลื่อนย้ายกำลังหลัก จากเวียดนามเหนือมายังเวียดนามใต้ แล้วเริ่มทำการรุกใหญ่ ตั้งแต่วันที่ ๑๐ มีนาคม ๒๕๑๕ เป็นต้นมา
การดำเนินการของเวียดนามเหนือ และเวียดกง
            เวียดนามเหนือได้ปฏิบัติการรุกเข้าไปในเวียดนามใต้ เพื่อผลทางการเมือง ๒ ครั้ง  ครั้งที่ ๑ ระหว่างปลายเดือนกันยายน ถึงต้นเดือนตุลาคม ๒๕๑๔ ซึ่งเป็นระยะที่มีการเลือกตั้งผู้แทนราษฎร และประธานาธิบดีในเวียดนามใต้ ครั้งที่ ๒ ระหว่าง ปลายเดือน มีนาคม - พฤษภาคม ๒๕๑๕ เวียดนามเหนือได้เปิดฉากการรุกใหญ่ในเวียดนามใต้ จากเขตปลอดทหารลงไปจนถึงแหลมคาเมา มีการปฏิบัติการรุนแรงที่บริเวณชายฝั่งทะเลตอนกลางของเวียดนามใต้ รวมทั้งภาคตะวันออก และภาคตะวันตกที่มีราษฎรอาศัยอยู่หนาแน่น พื้นที่ปฏิบัติการของกำลังรบหลักเวียดนามเหนือได้แก่ พื้นที่ตั้งเขตปลอดทหาร (เส้นขนานที่ ๑๗) ลงมายังที่ราบสูงด้านตะวันตกของเวียดนามใต้ และพื้นที่ติดชายแดนลาวเหนือจังหวัดไทนินห์ และทางตะวันตกเฉียงเหนือของกรุงไซ่ง่อน
            การที่เวียดนามเหนือรุกใหญ่ครั้งนี้เนื่องจากสหภาพโซเวียตให้การสนับสนุนอาวุธหนัก เช่น ปืนใหญ่ รถถัง และปืนต่อสู่อากาศยานเป็นจำนวนมาก กองทัพเวียดนามใต้สามารถต้านทานไว้ได้อย่างเหนียวแน่น ฝ่ายเวียดนามเหนือยังไม่สามารถยึดจังหวัดกวางตรีได้ รถถัง ๕๐ คัน ถูกทำลายเกือบหมด กองทัพอากาศสหรัฐฯ ได้ส่งฝูงบินทิ้งระเบิดแบบ B - ๕๒ ไปทิ้งระเบิดข้าศึกบริเวณจังหวัดเกียวลิน นับเป็นการเริ่มต้นการทิ้งระเบิดโจมตีเวียดนามเหนือครั้งใหม่ หลังจากได้หยุดชะงักมาตั้งแต่วันที่ ๑๑ ตุลาคม ๒๕๑๑
            เวียดนามเหนือได้หันไปเปิดการรุกทางภาคใต้ ของเวียดนามใต้ โดยส่งกำลังประมาณ ๑๐,๐๐๐ คน พร้อมรถถังเป็นจำนวนมาก จากฐานที่ตั้งในกัมพูชาบุกเข้าเวียดนามใต้ มุ่งเข้ายึดจังหวัดล็อคนิน และอันล็อค เพื่อบุกเข้าไปยึดกรุงไซ่ง่อน และพวเวียดกงในที่ราบลุ่ม บริเวณปากแม่น้ำโขงก็เริ่มเปิดฉากรุกเข้าสู่กรุงไซ่ง่อน
การเจรจาสันติภาพที่กรุงปารีส
            การเจรจาเพื่อยุติสงครามในเวียดนาม ระหว่างสหรัฐฯ และเวียดนามใต้ฝ่ายหนึ่ง กับเวียดนามเหนือ และเวียดกงอีกฝ่ายหนึ่ง เริ่มการเจรจามาตั้งแต่เดือนตุลาคม ๒๕๑๑ จนถึงเดือนมกราคม ๒๕๑๕ ปรากฏว่าที่ประชุมไม่สามารถตกลงปัญหาเวียดนามกันได้ ฝ่ายเวียดนามเหนือและเวียดกงได้ยื่นข้อเสนอต่อที่ประชุมครั้งหลังสุด เมื่อ ๑ กรกฎาคม ๒๕๑๔ สรุปได้ดังนี้
                ๑.  สหรัฐ ต้องกำหนดเวลาถอนทหารสหรัฐฯ และทหารชาติพันธมิตรฝ่ายโลกเสรีออกจากเวียดนามใต้โดยเร็วที่สุด และต้องส่งคืนเชลยศึกเวียดนามเหนือ และเวียดกงด้วย
                ๒.  ยุติการสนับสนุนรัฐบาลของประธานาธิบดี เหงียนวันเทียวของเวียดนามใต้ และรีบจัดตั้งรัฐบาลผสมขึ้น
                ๓.  การแก้ไขปัญหาการขัดแย้งระหว่างกำลังทหารเวียดนามใต้ กับเวียดกง เป็นเรื่องระหว่างชาวเวียดนามด้วยกันเอง
                ๔.  จัดให้มีการรวมประเทศเวียดนามเป็นขั้นตอนตามลำดับ
                ๕.  เวียดนามใต้ต้องดำเนินนโยบายเป็นกลาง
                ๖.  สหรัฐฯ ต้องชดใช้ค่าเสียหายจากสงครามให้กับเวียดนามเหนือ และเวียดนามใต้
                ๗.  ความตกลงต่าง ๆ ที่ลงนามร่วมกัน จะต้องมีองค์การระหว่างประเทศให้การรับรองด้วย
            ข้อเสนอดังกล่าวนี้ ฝ่ายสหรัฐฯ และเวียดนามใต้ไม่ยอมรับ โดยเฉพาะข้อ ๑ และข้อ ๒ ทำให้การเจรจาหยุดชะงัก ขณะเดียวกัน สหรัฐฯ ได้ส่งนายคิสซิงเจอร์ ที่ปรึกษาฝ่ายความมั่นคงแห่งชาติของประธานาธิบดี เดินทางไปเจรจาอย่างไม่เป็นทางการกับ ฝ่ายเวียดนามเหนือที่กรุง ปารีสถึง ๑๐ ครั้ง ในที่สุดฝ่ายสหรัฐฯ และเวียดนามใต้ได้ยื่นข้อเสนอต่อที่ประชุม รวม ๘ ข้อ มีลักษณะโอนอ่อนให้แก่เวียดนามเหนือเป็นอันมาก เพื่อแสดงว่าสหรัฐฯ มีความตั้งใจจริงที่จะยุติสงครามเวียดนาม แต่ฝ่ายเวียดนามเหนือไม่ยอมตกลงใด ๆ ด้วย สหรัฐฯ จึงตกลงใจเปิดเผยการเจรจาอย่างไม่เป็นทางการให้ชาวโลกได้ทราบข้อเท็จจริง ทำให้เวียดนามเหนือ และเวียดกง แสดงความโกรธแค้นสหรัฐฯ มาก และได้ปฏิเสธข้อเสนอของสหรัฐฯ อย่างเป็นทางการในการประชุม ครั้งที่ ๑๔๓ เมื่อ ๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๑๕ พร้อมกับยื่นข้อเสนอใหม่ ๘ ข้อ มีสาระสำคัญว่า ให้สหรัฐฯ และชาติพันธมิตรฝ่ายโลกเสรีถอนกำลังทั้งหมดออกจากเวียดนามใต้โดยไม่มีเงื่อนไข กับให้ยกเลิกโครงการช่วยเหลือตนเองในการป้องกันทางทหารของเวียดนามใต้
            ประเทศฝ่ายโลกเสรีทั่วไป โดยเฉพาะชาวอเมริกันมีความเห็นว่าข้อเสนอของสหรัฐฯ เหมาะสมและยุติธรรมดีแล้ว แสดงถึงความตั้งใจแน่วแน่ ที่จะยุติสงครามเวียดนาม ชมเชยรัฐบาลเวียดนามใต้ว่าใจกว้าง และกล้าหาญ พอที่จะแข่งขันกับฝ่ายเวียดนามเหนือด้วยวิถีทางการเมืองอย่างยุติธรรม และประณามฝ่ายเวียดนามเหนือว่าปราศจากความบริสุทธิ์ใจที่จะยุติสงคราม
            ประเทศผู้นำฝ่ายคอมมิวนิสต์ ต่างก็แสดงการสนับสนุนเวียดนามเหนือ และเวียดกง
            ต่อมาในปลายเดือนมีนาคม นางเหงียนทิบินห์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศเวียดนามเหนือ และหัวหน้าคณะผู้แทนเวียดกง ได้เดินทางไปร่วมเจรจาที่กรุงปารีสอีกครั้ง โดยยืนกรานให้สหรัฐฯ ถอนทหารทั้งหมดออกจากเวียดนามใต้ กับให้ประธานาธิบดีเหงียนวันเทียว ลาออกจากตำแหน่ง และยุบรัฐบาลก่อน ฝ่ายเวียดนามเหนือและเวียดกง จึงจะยอมเจรจาด้วย นอกจากนี้สหรัฐฯ ต้องปฏิบัติตามข้อเสนอของฝ่ายเวียดนามเหนือและเวียดกง จึงจะมีการเจรจาสงบศึกกันต่อไป เมื่อเป็นดังนี้ประธานาธิบดีนิกสันจึงสั่งให้ยุติการประชุม
สถานการณ์ในเวียดนามใต้ หลังการถอนกำลังฝ่ายโลกเสรี
            สหรัฐฯ ได้ถอนกำลังในเวียดนามใต้เป็นจำนวน ๔๕๐,๐๐๐ คน แต่เวียดนามเหนือและเวียดกง ก็มิได้ปฏิบัติการอันใดที่จะช่วยให้เกิดสันติภาพ แต่กลับฉวยโอกาสทำการรุกรบทันทีเมื่อได้โอกาส  ดังนั้นการเจรจาสงบศึกที่กรุงปารีส ตลอดเวลา ๓ ปีครึ่ง จำนวน ๑๔๖ ครั้ง จึงไม่มีผลคืบหน้าเท่าที่ควร จนในที่สุดสหรัฐฯ ถอนตัวจากการประชุม
            จากการประชุมใหญ่ครั้งที่ ๒ ของเวียดนามเหนือในเดือน เมษายน ๒๕๑๕ จนทำให้สหรัฐฯ ต้องตอบโต้ด้วยการโจมตีทางอากาศ ตามเส้นทางส่งกำลังของฝ่ายเวียดนามเหนือ ตั้งแต่เมืองท่าไฮฟอง กรุงฮานอย และเส้นทางรถไฟสายจีน - เวียดนามเป็นผลให้เวียดนามเหนือต้องชลอการบุกของตนลง เนื่องจากประสบปัญหาด้านการส่งกำลัง เมื่อตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบเวียดนามเหนือ จึงหันไปใช้ที่ประชุมเจรจาตกลงสงบอีกครั้ง สหรัฐฯ ยอมกลับเข้าร่วมเจรจาด้วย เมื่อ ๒๙ เมษายน ๒๕๑๕ และในวันเดียวกันนี้ ประธานาธิบดีนิกสันได้ออกแถลงการณ์ว่า สหรัฐฯ จะถอนทหารจำนวน ๒๐,๐๐๐ คน ออกจากเวียดนามใต้ และในวันที่ ๑ กรกฎาคม ๒๕๑๕ กำลังทหารภาคพื้นดินของสหรัฐฯ จะเหลืออยู่ในเวียดนามได้เพียง ๔๙,๐๐๐ คน เท่านั้น
            เมื่อเวียดนามเหนือเปิดการเจรจาที่กรุงปารีสได้ ก็กลับดำเนินการรุกรบเวียดนามใต้โดยใช้กำลังทหาร ๔๐,๐๐๐ คน เข้าตีเมืองกวางตรี โดยใช้กองพลรถถังเป็นขบวนนำเข้าตี และยึดเมืองดองฮาได้ แล้วเคลื่อนกำลังไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ตามทางหลวงหมายเลข เพื่อเข้ายึดเมืองเว้ต่อไป พร้อมกับเข้าตีเมืองกวางตรี เวียดนามเหนือส่งกำลังทหาร ๒๐,๐๐๐ คน รุกจากชายแดนลาวเข้าสู่ที่ราบสูงภาคกลางของเวียดนามใต้ เพื่อตีเมืองคอนทูมเป็นการตัดการติดต่อ ระหว่างภาคเหนือ กับภาคใต้ของเวียดนามใต้ เวียดนามเหนือยึดเมืองกวางตรีได้ เมื่อต้นเดือนพฤษภาคม ๒๕๑๕ แล้วเคลื่อนกำลังเข้าคุกคามเมืองเว้
           สหรัฐฯ ตัดสินใจใช้มาตราการเด็ดขาดด้วยการส่งกำลังโจมตีทั้งทางทะเลและทางอากาศ โดยกองทัพเรื่อที่ ๗ ส่งเรือรบ ๘ ลำ มีทั้งเรือพิฆาต เรือลาดตระเวน และเรือบรรทุกเครื่องบิน เข้าปิดล้อมชายฝั่งเวียดนามเหนือ และวางทุ่นระเบิดตลอดแนวอ่าวตังเกี๋ย ส่วนทางอากาศได้ส่งเครื่องบินทิ้งระเบิดแบบ B - ๕๒ ประมาณ ๕๐๐ เครื่อง ทั้งจากฐานทัพอากาศ และเรือบรรทุกเครื่องบินโจมตีเมืองกวางตรี  เพื่อทำลาย และขับไล่ทหารเวียดนามเหนือที่ยึดครองอยู่ พร้อมกับโจมตีทิ้งระเบิดท่าเรือ คลังน้ำมัน และคลังยุทธสัมภาระ บริเวณเมืองไฮฟอง และกรุงฮานอย ซึ่งเป็นฐานส่งกำลังบำรุงที่สำคัญยิ่งของเวียดนามเหนือ กับทิ้งระเบิดเส้นทางรถไฟสายจีน - เวียดนามเป็นครั้งที่ ๒
            เวียดนามเหนือได้ประกาศตั้งรัฐบาลเวียดกงขึ้นในเมืองกวางตรี ในปลายเดือนพฤษภาคม เวียดนามใต้จึงยึดเมืองกวางตรีกลับคืนมาได้ เวียดนามเหนือได้พยายามเข้าตีเมืองเว้หลายครั้ง  ทำให้พระราชวัง โบราณสถาน ศาสนสถานในพุทธศาสนา และคริสตศาสนา และสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ ซึ่งได้เคยเสียหายอย่างหนักมาแล้วจากการรุกใหญ่ของเวียดนามเหนือ ระหว่างเทศกาลตรุษญวน พ.ศ.๒๕๑๔ ถูกทำลายลงหมดสิ้น
            ตอนปลายเดือน พฤษภาคม ๒๕๑๕ เวียดนามเหนือได้พยายามเข้ายึดเมืองคอนทูม สหรัฐฯ ได้ใช้จรวดนำวิถีทำลายรถถังของเวียดนามเหนือจนหมดสิ้น และทิ้งระเบิดกำลังเวียดนามเหนือที่ตั้งล้อมเมืองอยู่ สหรัฐฯ ใช้เครื่องบินทิ้งระเบิดทำลายที่มั่นทางทหาร ในเขตเวียดนามเหนือทุกวัน เฉลี่ยวันละ ๒๕๐ เที่ยวบิน
            ในระหว่างห้วงเวลา ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๑๕ ถึง ๒๕ ตุลาคม ๒๕๑๕ ได้มีการเจรจาลับ ระหว่าง ๒ ฝ่าย หลายครั้ง จึงได้แถลงข่าวเมื่อ ๒๕ ตุลาคม ๒๕๑๕ ที่กรุงวอชิงตันว่า การเจรจายุติสงครามเวียดนามใต้บรรลุถึงจุดหมาย ที่จะได้มีการลงนามระหว่างกันแล้ว และสันติภาพอยู่ใกล้แค่เอื้อม แต่แล้วก็ไม่เป็นผลเวียดนามเหนือเรียกร้องมากเกินไป จนสหรัฐฯ และเวียดนามใต้ไม่สามารถปฏิบัติได้ การเจรจาจึงล้มเหลว สหรัฐฯ จึงทิ้งระเบิดเวียดนามเหนือในบริเวณเหนือเส้นขนานที่ ๒๐ ขึ้นไป กับวางทุ่นระเบิดปิดอ่าวเมืองท่าไฮฟองเพิ่มขึ้น จนถึง ๒๑ ธันวาคม ๒๕๑๕ สหรัฐฯ จึงเปลี่ยนนโยบายเป็นยื่นคำขาดให้เวียดนามเหนือ และเวียดนามใต้ยุติการสู้รบกัน โดยให้เวียดนามเหนือยอมรับเงื่อนไขความตกลงสงบศึก มิฉะนั้นจะทิ้งระเบิดรุนแรงขึ้นกว่าเดิม และให้เวียดนามใต้ยอมเข้าร่วมเจรจาตกลงสงบศึกด้วย มิฉะนั้นสหรัฐฯ จะยุติการช่วยเหลือทั้งหมด แต่เวียดนามเหนือไม่ปฏิบัติตาม สหรัฐฯ จึงดำเนินการทิ้งระเบิด กรุงฮานอย เมืองไฮฟอง และเมืองสำคัญอื่น ๆ อย่างรุนแรง เครื่องบินทิ้งระเบิดแบบ B - ๕๒ ประมาณ ๕๐๐ เครื่อง ทำการทิ้งระเบิดเวียดนามเหนือทั้งวันทั้งคืน เวียดนามเหนือสามารถทำลายเครื่องบินสหรัฐฯ ได้ถึง ๑๖ เครื่อง ในที่สุดก็ขอเปิดการเจรจาสันติภาพที่กรุงปารีสอีกครั้ง เมื่อ ๘ มกราคม ๒๕๑๖  ในที่สุดทั้งสองฝ่ายก็สามารถลงนามในความตกลง จะสงบศึกอย่างเป็นทางการ เมื่อ ๒๗ มกราคม ๒๕๑๖  มีผลบังคับตั้งแต่ เวลา ๐๘.๐๐ น. ของวันที่ ๒๘ มกราคม ๒๕๑๖ มีสาระสำคัญดังนี้
                ๑.  ให้มีการหยุดยิงทุกแห่งในเวียดนามใต้
                ๒.  ให้ส่งคืนเชลยศึกชาวอเมริกันทั้งหมดภายใน ๖๐ วัน หลังจากลงนาม
                ๓.  สหรัฐฯ จะถอนกำลังทหารที่เหลืออยู่ในเวียดนามใต้ ๒๔,๐๐๐ คน ภายใน ๖๐ วัน
                ๔.  สหรัฐฯ ให้คำรับรองว่าประชาชนเวียดนามใต้มีสิทธิที่จะกำหนดอนาคตของตนเอง โดยปราศจากการแทรกแซงจากภายนอก

            เวียดนามเหนือยังไม่ละความพยายามที่จะรุกรานเวียดนามใต้ และให้รัฐบาลเวียดนามใต้ ยอมรับวิถีทางการปกครองตามลัทธิคอมมิวนิสต์ เมื่อสหรัฐฯ และชาติพันธมิตรฝ่ายโลกเสรีได้ถอนกำลังทั้งหมด ออกจากเวียดนามใต้แล้ว เวียดนามใต้จึงตกเป็นฝ่ายเพลี้ยงพล้ำแก่เวียดนามเหนือ กองทัพเวียดนามเหนือและเวียดกงเข้ายึดกรุงไซ่ง่อนได้เมื่อ ๓๐ เมษายน ๒๕๑๘ และเวียดนามเหนือสามารถรวมเวียดนามใต้เข้าด้วยกัน เมื่อ ๓ กรกฎาคม ๒๕๑๘ และประกาศใช้ชื่อประเทศใหม่ว่า สาธารณรัฐเวียดนาม


ขอบคุณข้อมูลจาก หอมรดกไทย
 http://thaiheritage.net/nation/military/vietnam/vietnam.htm

พระอู่ทอง ออกศึก ปี ๑0 รุ่นแจกทหารจงอางศึก

              
   
     สร้างโดยหลวงปู่โพธิ์ (พระครูศรีรัตนาภิรักษ์)อดืตเจ้าอาวาสวัดพระศรีมหาธาตุครับ(ต้นกำเนิดผงสุพรรณ) มวลสารก็มากมาย เช่นพระผงสุพรรณ ผงพระถ้ำเสือ ผงพระขุนแผนบ้านกร่าง และพระเครื่องเนื้อดินอีกหลายคณาจารย์ครับ

    รุ่นแรกสีแดง
พิธีพุทธาภิเษก ๑๓ พฤษภาคม ๒๕๑๐ โดยพระคณาจารย์๖๙ รูป อาทิ ๙ สมเด็จ , หลวงปู่โต๊ะ วัดประดู่ , หลวงพ่อเงิน วัดดอนฯ, หลวงพ่อฑูร วัดโพธิ์นิมิต หลวงพ่อมุ่ย หลวงพ่อกวย หลวงพ่อแดง หลวงพ่อแต้มเป็นต้น สร้างจำนวน ๑๖๘,๐๐๐ องค์ แจกทหารจงอางศึกไปรบเวียดนาม ๒๕,๗๐๐องค์ ที่เหลือแจกพ่อค้าประชาชนทั่วๆป

    รุ่นสอง สีดำ
พิธีพุทธาภิเษก ๒-๑๐ มีนาคม ๒๕๑๑ และ ๑๓ เมษายนปีเดียวกัน โดยพระคณาจารย์ชุดเดียวกับรุ่นแรก สร้างจำนวน ๕๐๐,๐๐๐องค์ แจกหน่วยงานราชการต่างๆนับแสน และบรรจุในพระปรางค์วัดพระศรีฯ สุพรรณ อีกส่วนหนึ่ง เมื่อ ๒๘ มกราคม ๒๕๑๒

    พระอู่ทองออกศึก รุ่นแจกทหารจงอางศึก มีประสบการณ์เรื่องราวปาฏิหาริย์มากมาย ในสงครามเวียดนาม ทหารหาญของไทย รุ่นนี้ให้ความเชื่อมั่นในพุทธคุณ และมั่นใจเป็นกันมาก ไม่ว่าจะโดนยิง โดนแทงหรือโดนระเบิด ต่างก็รอดจากเงื่อมมือ เรียกกันว่ารุ่นทหารผีครับ เพราะเมื่อโดนยิงแล้วไม่ตายยังลุกขึ้นมาสู้ต่อได้ครับ เป็นพระเครื่องดีพุทธคุณสูง