วันพฤหัสบดีที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2559

พระเจ้าพรหมมหาราช (โยนกนคร)

พระเจ้าพรหมมหาราช (โยนกนคร)






เราเริ่มกันสมัยพระราชา ทรงพระนามว่า พันนะติ หรือ พระเจ้าละวะจักราช ใช่หรือไม่ก็ไม่ทราบ ทรงเสวยพระราชย์อยู่ในเขตเชียงแสนนี่ใช้เวลาเสวยราชย์ ๒๙ ปี ก็สวรรคต ท่านเป็นพระราชบิดาของพระอชุตราช เมื่อพระราชบิดาสวรรคตแล้ว พระเจ้าอชุตราช มีพระชนมายุได้ ๒๐ ปี ก็เสวยราชย์ต่อ

พระเจ้าอชุตราชเสวยราชสมบัติมาจนอายุ ๑๒๐ ปี องค์นี้เป็นพระราชามาถึง ๑๐๐ ปี โอ้โฮต้องคิดนะลูกนะ ๑๐๐ ปี นี่น่าจะมีขบถไหม จะมีการโจมตีกระแนะกระแหนกันไหม เปล่าเลย ไม่มีนะ หลังจากพระเจ้าอชุตราช เสวยราชสมบัติมา ๑๐๐ ปี พอดี เป็นอันว่าพระเจ้าอชุตราชทรงมีพระชนมายุทันพระพุทธเจ้า ๒๐ ปี เห็นไหมลูกรัก อันนี้ พ่อถือว่าเป็นประวัติศาสตร์ที่แน่นอน พ.ศ. นี่ เพราะว่าเป็น พ.ศ. ผี ต่อมาเมื่อพระเจ้าอชุตราชสวรรคตแล้ว พระเจ้ามังรายพระราชโอรสก็เสวยราชสมบัติแทน

พระเจ้ามังรายมหาราชก็เป็นรัชกาลที่ ๒ เสวยราชสมบัติ ตอนนี้ท่านมาบอกว่ามีพระอรหันต์ นามว่า "วชิระ" นำพระบรมสารีริกธาตุมาถวาย ๑๕๐ องค์ มาพร้อมกับพระอรหันต์ ๕๐๐ รูป พระเจ้ามังรายมหาราชเสวยราชสมบัติได้ ๓๗ ปี อายุของท่านได้ ๘๙ ปี ก็สวรรคต รู้สึกว่า อายุยืนมาก ไม่ยักมีขบถ

ต่อมาเป็นรัชกาลที่ ๓ เป็นรัชกาลที่คุดในประวัติศาสตร์ เวลาที่พ่อพูดนี่ ท่านบอกว่า เขาเขียนคุดไว้ เขาเขียนไว้ที่ไหนบ้าง พ่อก็ไม่รู้ ตรงหรือไม่ตรงอย่าถือเป็นหลักฐานสำคัญ เราถือเอาธรรมะ คือเรื่องตาย ๆ เกิด ๆ เป็นสำคัญ แต่พ่อพูดไว้ให้ฟัง เพื่อจะให้ลูกรู้ว่า ชีวิตของคนน่ะมันเป็นของไม่เที่ยง อย่าเมาในชีวิต จงอย่าคิดว่าเราไม่ตาย ถ้าเราคิดว่าเราไม่ตายละก็เสียท่า

เป็นอันว่าเมื่อพระเจ้ามังรายมหาราชสวรรคตแล้ว พระราชโอรสชื่อว่า พระองค์เชียง เสวยราชสมบัติ เป็นรัชกาลที่ ๓ อยู่ ๓๑ ปี และมีอายุ ๘๙ ปี เท่าพ่อก็สวรรคตตายอีกเห็นไหมลูกเกิดแล้วก็ตาย เป็นกษัตริย์ก็ตาย ใหญ่ก็ตาย เล็กก็ตาย

รัชกาลที่ ๔ มีพระนามว่า "พระองค์ชิน" ราชโอรสเสวยราชสมบัติได้ ๒๐ ปี มีพระชนมายุ ๘๐ ปี สวรรคต แหม ตอนนี้ไม่ยักมีใครขบถนะ

ถ้าเป็นเวลานี้หนังสือพิมพ์คงโจมตี ว่าดีอย่างนั้น เสียแบบนี้ ทำดีแค่โน้น ทำดีแค่นี้ ทีตัวเองทำให้ประเทศชาติฉิบหายละก็ไม่ได้ดูละ ดีแต่กระแหนะกระแหนว่าคนนั้นว่าคนนี้ คนเรานะควรเอากระจกเงาส่องหน้าไว้บ้าง

รัชกาลที่ ๕ ท่านกล่าวว่า พระราชาทรงพระนามว่า "คำตน" มีอายุ ๕๘ ปี เสวยราชสมบัติได้ ๗ ปี ก็สวรรคต

รัชกาลที่ ๖ พระราชาทรงพระนามว่า "องค์กิงตน" เสวยราชสมบัติได้ ๕๖ ปี ก็สวรรคต อายุเท่าไรท่านไม่ได้บอก

รัชกาลที่ ๗ พระราชาทรงพระนามว่า "พระองค์กิงกีราช" เสวยราชสมบัติได้ ๖๕ ปี องค์นี้มีอายุ ๑๐๐ ปี จึงสวรรคต เป็นพระราชโอรส คือเป็นลูกกันต่อ ๆ มา

รัชกาลที่ ๘ พระราชาทรงพระนามว่า "พระชาติตน" เป็นราชโอรสสืบสันติวงศ์ต่อมาเสวยราชย์ได้ ๒๐ ปี และมีอายุ ๗๑ ปี

รัชกาลที่ ๙ พระราชาทรงพระนามว่า "พระเจ้าเว้าตน" เริ่มเสวยราชย์เมื่ออายุ ๖๒ ปี เสวยราชย์ได้ ๑๙ ปี คือมีอายุได้ ๘๑ ปี ก็สวรรคต

รัชกาลที่ ๑๐ พระราชาทรงพระนามว่า "พระเจ้าแว่นตน" ราชโอรสเริ่มเสวยราชย์ เมื่ออายุได้ ๖๓ ปี เสวยราชย์ได้ ๑๗ ปี คืออายุ ๘๐ ปี ก็สวรรคต

รัชกาลที่ ๑๑ พระราชาพระนามว่า "พระเจ้าแก้วตน" ราชโอรสองค์ก่อน เสวยราชย์ เมื่ออายุ ๕๘ ปี เสวยราชย์ได้ ๑๕ ปี มีอายุ ๗๒ ปี ก็สวรรคต

ไม่เห็นมีใครอยู่สักคน ตายกันหมด พ่อพูดมานี่ลูกเห็นไหม ดูตามไปนะว่าพระราชาแต่ละองค์ รูปร่างท่านเป็นอย่างไร เวลาท่านเสวยราชย์ ท่านทำอย่างไรบ้าง ท่านก็คลุกคลีตีโมงแบบพ่อคนนั่นแหละ ถ้าจะเทียบ ๆ กันไปก็คล้าย ๆ รัชกาลที่ ๙ เราปัจจุบัน แต่ต่างกันอยู่นิดที่สมัยนั้น ใช้เดินไปนั่งคุยกัน เวลานี้เรื่องกฎหมาย เรื่องระเบียบประเพณี เขาเขียนไว้มากเกินไป อย่างพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๙ ท่านต้องการอย่างสมัยก่อน เราจะเห็นว่าท่านคลุกคลีตีโมง แต่เครื่องแบบนี้เขาบังคับ สมัยก่อนเครื่องแบบไม่บังคับ กษัตริย์ไปไหนบางทีนุ่งกางเกง ใส่เสื้อ บางทีก็ไม่เสื้อ เอาผ้าขาวม้าผืนหนึ่งห่มเป็นสไบเฉียงบ้าง พาดไหล่บ้าง เดินไปคุยกับคนโน้นคนนี้ เป็นแบบกันเอง ปกครองกันแบบสบาย ๆ

รัชกาลที่ ๑๓ พระราชาทรงพระนามว่า "พระองค์เงิน" ซึ่งเป็นราชโอรส เริ่มเสวยราชย์เมื่ออายุ ๕๖ ปี เสวยราชย์มาได้ ๑๕ ปี คือมีอายุได้ ๗๑ ปีก็สวรรคต

รัชกาลที่ ๑๔ พระราชาทรงพระนามว่า "พระองค์แว่นตน" ราชโอรส เสวยราชย์เมื่ออายุ ๕๒ ปี เสวยราชย์มาได้ ๑๖ ปี อายุได้ ๖๘ ปีก็สวรรคต องค์นี้อายุน้อยหน่อย

รัชกาลที่ ๑๕ พระราชาทรงพระนามว่า "พระองค์งามตน" เป็นราชโอรสสืบต่อมา เสวยราชย์เมื่ออายุ ๕๐ ปี เสวยราชย์มาได้ ๓๓ ปี อายุได้ ๘๓ ปี ก็สวรรคต

รัชกาลที่ ๑๖ เป็นราชโอรสองค์ก่อนทรงพระนามว่า "พระองค์ลือตน" อายุ ๖๖ ปี เสวยราชย์ได้ ๑๕ ปี พออายุ ๗๑ ปี ก็สวรรคต

รัชกาลที่ ๑๗ "พระองค์ชินตน" เสวยราชย์เมื่ออายุ ๕๒ ปี เสวยราชย์ได้ ๑๖ ปี พออายุ ๗๘ ปี ก็สวรรคต

รัชกาลที่ ๑๘ พระราชาทรงพระนามว่า "พระองค์พันตน" อายุ ๕๖ ปี เสวยราชย์ ๑๖ ปี อายุ ๗๒ ปีก็สวรรคต

ลูกดูเถอะว่าพระราชาแต่ละองค์ มีความเป็นอยู่ไม่นานก็ตาย แต่พระราชจริยาวัตรของพระองค์น่ะเป็นกันเองกับบรรดาประชาชน แหม พ่ออยากจะพูดอะไรสักนิดอย่างผู้แทนราษฎรนี่ไม่ได้เป็นพระราชา แต่อีตอนอยากจะเป็นผู้แทนนี่ แหม พินอบพิเทาอยากจะรับใช้ประชาชน แต่พอได้เป็นผู้แทนแล้วเท่านั้นแหละ ลืมตน กลายเป็นจอมชีวิตของปวงชนไป นี่มันเสียตรงนี้นะลูกนะ

ฟังกันต่อไป รัชกาลที่ ๑๙ ทรงพระนามว่า "พระองค์เกลาตน" พระราชโอรสของพระราชาองค์ก่อน อายุ ๕๖ ปี ก็เสวยราชสมบัติได้ ๑๗ ปี อายุ ๗๓ ปี ก็สวรรคต

รัชกาลที่ ๒๐ พระราชาทรงพระนามว่า "พระองค์พิงตน" พระราชโอรสขององค์ก่อนอายุ ๕๒ ปี เสวยราชย์ได้ ๑๙ ปี อายุ ๗๑ ปี ก็สวรรคต

รัชกาลที่ ๒๑ พระราชาทรงพระนามว่า "ศรีตน" พระราชโอรสขององค์ก่อน อายุ ๕๔ ปี เสวยราชสมบัติได้ ๑๗ ปี อายุ ๗๑ ปี ก็สวรรคต

...................................................

คำสั่งของพ่อ

จาก หนังสือ เรื่องจริงอิงนิทาน (พิเศษ)

นี่พ่อฟังมาแล้วก็พูดไป ขอลูกใช้ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ และอตีตังสญาณ เข้าไปดูว่าพระราชาแต่ละองค์ ๆ น่ะ เวลานั้น ท่านทำกันยังไงลูก เวลาที่จะออกขุนนางเวลาที่จะนั่งบังลังก์ท่านก็แต่งตัวโก้ พระราชฐานก็ทำด้วยไม้ เวลายามปกติท่านก็เดินไปเดินมา แต่งตัวสีสดบ้าง สีมัวบ้าง ดีไม่ดีก็เดินเอาผ้าขาวม้าพาดไหล่ไม่มีเสื้อไปเยี่ยมชาวไร่ ชาวนา คุยกับคนโน้น คนนี้ แนะนำคนนั้น แนะนำคนนี้ เป็นกันเองทุกอย่าง มีความหวังดี ไม่เอาเปรียบใคร

ลูกอย่าลืมนะว่า โลกนี้มันเป็นอนิจจังนะลูกรัก ในสมัยนั้น ๆ ลูกเกิดบ้างหรือเปล่า จากนั้นมาถึงนี่ ลูกเกิดมาแล้วกี่วาระ ถอยหลังชาติไปแล้ว ทำลายความรู้สึกมันเสียนะลูกรักนะอย่าสนใจกับความเกิดต่อไป อะไรบ้างเล่าเป็นของดี

"ราคัคคิ ไฟ คือ ราคะ โทคัสคิ ไฟ คือ โทสะ โมหัคคิ ไฟ คือ โมหะ อย่าให้มันมาสุมใจเรานะลูก จะมีความลำบาก"

ขณะนี้พ่อมองเห็นลูกรักของพ่อทุกคน บางคนก็ลืมตา บางคนก็หลับตา และก็อยู่ในจิตสงบ วิชาที่พ่อให้ลูกไว้นี้ เป็นวิชาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ ที่พ่อกล้าท้าว่าใครจะหาว่า พ่ออวดอุตริมนุสธรรม หมายถึง อวดธรรม อันยิ่งที่ไม่มีในตน แต่ที่มีในตน ท่านปรับอาบัติปาจิตตีย์ จะมีความหมายอย่างไร แต่นี่พ่อไม่ได้ไปอวดกับใครเขานะ พ่อพูดกับลูกของพ่อที่ได้มโนมยิทธิ แล้วทุกคน และพ่อไม่ได้พูดเพื่อให้ลูกทั้งหลายมีความกำเริบเสิบสาน แม้ลูกจะได้วิชานี้มาไม่ถึง ๑๐ วัน เพิ่งได้กันใหม่ ๆ เป็นของใหม่เอี่ยมของลูก พ่อต้องการให้ลูกของพ่อทั้งหมด "ฝึกความชำนาญในการใช้มโนมยิทธิ และญาณ ๘" เพราะว่า วิชานี้จะไปนั่งใช้กันเวลาค่ำ เวลาเช้ามืด เวลาสงัดนั้นไม่ได้ "ต้องใช้ให้ได้ทุกขณะจิต ทุกอิริยาบท ทุกอาการ และทุกสิ่งแวดล้อม ที่เข้ามาล้อมเราอยู่"

ให้ดูตัวอย่าง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ตรัสกับพราหมณ์ ซึ่งพราหมณ์มาถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า
"พระอริยะนี่ต้องการสถานที่สงัด คือ ป่าช้า และป่าชัฏใช่ไหม เพราะที่นั่นเป็นที่สงัด"

แต่องค์สมเด็จพระทรงสวัสดิโสภาคย์ ได้ทรงมีพระพุทธฎีกาตรัสว่า
"พราหมณะ ดูก่อน พราหมณ์ สำหรับพระอริยเจ้านี่อยู่ที่ไหนก็สงัด เพราะว่าอารมณ์จิตของท่านสงัดแล้ว อยู่ในป่าท่านก็สงัด อยู่ในป่าช้าก็สงัด อยู่ในบ้านร้างก็สงัด อยู่ในบ้านซึ่งมีคนก็สงัด อยู่ในเมืองก็สงัด เพราะจิตสงัดจากกิเลส"

ฉะนั้น เวลานี้มีเสียงดนตรีประโคมขณะพ่อพูด เสียงดนตรีดังสนั่นหวั่นไหวตามทำนองเพลงมอญ คือเพลงประโคมศพ เท่งทึ้ง ๆ เขาเชื่อมเสียงเข้ามาตามไมโครโฟน สำหรับไมโครโฟนที่พ่อพูดนี่ไม่ได้รับเสียงดนตรี เพื่อจะได้ไม่กลบเสียงพ่อในด้านนี้ก็ดีเหมือนกัน แต่พ่อใช้ เจโตปริยญาณ เวลาพูด สำหรับเจโตปริยญาณของพ่อนี้ใช้ได้ทุกเวลานะลูกเวลาพ่อพูด พ่อใช้เจโตปริยญาณ ดูใจของลูก แต่พ่อรู้ว่า ลูกรู้ว่าพ่อดูลูก และใจของลูกสงบสงัดมีอารมณ์ใสเป็นแก้วเห็นเป็นแก้วแพรวพราว แต่กำลังความเป็นแก้วอาจจุไม่เสมอกันบ้างเป็นธรรมดา แต่หลายคนที่เหน็ดเหนื่อยในการจัดบริการต่าง ๆ แต่ว่าเวลาฟังเสียงพ่อพูดอยู่นี่กำลังใจลูกสะอาดมากลูกรักรักษากำลังใจนี้ไว้นะลูก

แต่ว่าพ่อมองดูคนอื่นที่เขาไม่รู้เรื่อง เขามานั่งฟังเราพูดด้วย บางทีเขาจะหาว่าเราบ้านะ บางคนคิดว่า พ่อเล่านิทานปรัมปราให้ลูกฟัง ก็ช่างเขาเถอะลูก เรื่องความคิดความอ่านนะ ลูกรักอย่าไปต้านทานเขา เขามีความรู้สึกอย่างไรก็เป็นเรื่องของเขา ไม่ใช่เรื่องของเรา

แต่ว่าเรื่องของเรา เราต้องรู้ว่าอะไรมันเป็นอะไร อะไรมันดีอะไรมันชั่ว มันอยู่ที่ตัวของเรา อย่าไปสนใจเขา เรื่องใจของเราเท่านั้นเป็นสำคัญ
พระพุทธเจ้าตรัสว่า "อัตตนา โจทยัตตานัง จงกล่าวโทษความผิด จิตของเราไว้เสมอ"
"ดูใจของลูกให้มันเป็นแก้วใส ตลอดเวลา"
"เวลารับคำชม ใจเราก็เป็นแก้ว ตั้งอยู่ในอุเบกขา"
"เวลารับเสียด่า ใจเราก็เป็นแก้ว ตั้งอยู่ในอุเบกขา"
"ใจยิ้ม พร้อมจะยิ้มรับคำด่าของเขาได้ ชื่อว่าใจเป็นสุข" เวลานี้ใจของลูกพ่อทราบว่า ไม่มีใครหวังในการเกิด “เบื่อหน่ายแล้วหรือลูก” เบื่อหน่ายในความเกิดแล้วใช่ไหม
จิตใจรักพระนิพพานเป็นอารมณ์แล้วใช่ไหม
ลูกทุกคนเงียบสงัด เพราะกำลังอยู่ในสมาธิ พ่อพอใจ แต่พ่อก็ทราบว่าจิตใจของลูกเวลานี้ จับพระนิพพานเป็นอารมณ์ มีความเบื่อหน่ายในสภาวะการเกิดการตาย

ดูกษัตริย์ต่าง ๆ ที่พ่อเล่ามาทั้งหลายเหล่านี้ ท่านตายแล้วท่านไปไหนตามท่านไปดูนะลูกนะ

ต่อไปนี้ พ่อขอพูดถึงพระราชาองค์ที่ ๒๒ ทรงพระนามว่า “พระองค์สมตน” ซึ่งเป็นพระราชโอรสของ พระองค์ศรีตน อายุ ๕๒ ปี เสวยราชสมบัติได้ ๑๗ ปี อายุ ๖๙ ปี ก็สวรรคต เห็นไหมลูกเป็นพระราชาก็ตาย

ต่อมารัชกาลที่ ๒๓ พระราชาทรงพระนามว่า “พระองค์สวนตน” ราชโอรสขององค์ก่อน อายุ ๔๘ ปี เสวยราชย์ได้ ๑๘ ปี อายุ ๖๕ ปี ก็สวรรคต

ต่อมารัชกาลที่ ๒๔ พระราชโอรสเสวยราชสมบัติทรงพระนามว่า “พระองค์แพงตน” อายุ ๔๘ ปี เสวยราชย์ได้ ๒๐ ปี อายุ ๖๘ ปี ก็สวรรคต

รัชกาลที่ ๒๕ พระราชโอรสองค์ก่อน สืบสันตติวงศ์ต่อมา ทรงพระนามว่า “พระเจ้ากวนตน” เสวยราชสมบัติได้ ๑๔ ปี อายุ ๖๗ ปี ก็สวรรคต

รัชกาลที่ ๒๖ พระราชโอรสองค์ก่อน เสวยราชย์ต่อมา ทรงพระนามว่า “พระองค์พูตน” อายุ ๓๖ ปี เสวยราชสมบัติได้ ๑๒ ปี อายุ ๔๘ ปี ก็สวรรคต

รัชกาลที่ ๒๗ พระราชาทรงพระนามว่า “พระองค์ฟั่นตน” ซึ่งเป็นราชโอรสขององค์ก่อน อายุ ๓๐ ปี เสวยราชสมบัติได้ ๕๐ ปี ก็สวรรคต เมื่ออายุได้ ๘๐ ปี

รัชกาลที่ ๒๘ ทรงพระนามว่า “พระองค์มังสิงห์ตน” ราชโอรสองค์ก่อน อายุ ๓๕ ปี เสวยราชสมบัติได้ ๕๐ ปี ก็สวรรคต เมื่ออายุได้ ๘๕ ปี


ในเวลานั้นพระอรหันต์มาก พระราชาทุกพระองค์เป็นผู้ทรงธรรม ไหว้พระสวดมนต์กันอยู่ตลอดเวลา
รัชกาลที่ ๒๙ พระราชาทรงพระนามว่า “พระองค์มังสมตน” องค์นี้เป็นน้องของพระเจ้ามังสิงห์ตน ซึ่งไม่มีพระโอรส ดังนั้นน้องชายจึงเสวยราชย์ เมื่ออายุ ๗๒ ปี เสวยราชย์ได้ ๑๘ ปี ก็สวรรคต

รัชกาลที่ ๓๐ พระราชาทรงพระนามว่า “พระองค์ทิพย์ตน” อายุ ๕๑ ปี เสวยราชสมบัติต่อจากพระราชบิดาได้ ๑๗ ปี ก็สวรรคต เมื่ออายุ ๖๘ ปี

รัชกาลที่ ๓๑ พระราชาทรงพระนามว่า “พระองค์กะมะตน” ราชโอรสขององค์ก่อนเสวยราชสมบัติ เมื่ออายุ ๔๓ ปี เสวยราชย์ได้ ๕ ปี ก็สวรรคต เมื่ออายุ ๔๘ ปี

รัชกาลที่ ๓๒ พระราชาทรงพระนามว่า “พระองค์ชายตน” ราชโอรสองค์ก่อนอายุ ๓๐ ปี เสวยราชย์ได้ ๒๐ ปี ก็สวรรคต เมื่ออายุ ๕๐ ปี

รัชกาลที่ ๓๓ พระราชาทรงพระนามว่า “พระองค์ชินตน” ราชโอรสมีอายุได้ ๓๒ ปี ขึ้นเสวยราชย์ได้ ๑๕ ปี ก็สวรรคต คือตายเมื่ออายุได้ ๔๗ ปี ไม่เห็นใครอยู่ ตายหมด

รัชกาลที่ ๓๔ พระราชาทรงพระนามว่า “พระองค์ชมตน” เสวยราชย์เมื่ออายุ ๒๙ ปี เสวยราชย์ได้ ๒๐ ปี ก็สวรรคต

รัชกาลที่ ๓๕ “พระองค์พังตน” อายุ ๒๘ ปี ขึ้นเสวยราชสมบัติได้ ๑๖ ปี อายุ ๔๔ ปี ก็สวรรคต นี่จะเห็นว่า การเป็นพระราชาก็ตายไม่เกิดประโยชน์

รัชกาลที่ ๓๖ “พระองค์พิงตน” อายุ ๒๖ ปี เสวยราชย์ได้ ๑๕ ปี อายุ ๔๑ ปี ก็สวรรคต

รัชกาลที่ ๓๗ พระราชาทรงพระนามว่า “พระเจ้าพังตน” ราชโอรสองค์ก่อน ที่เราเรียกว่า “พระเจ้าพังคราช” ที่มีความสัมพันธ์กับเมืองเชียงแสน พระธาตุจอมกิตติ ทรงมีอายุได้ ๑๘ ปี ขึ้นเสวยราชสมบัติ พออายุได้ ๒๐ ปี เจ้าขอมดำก็มาอาละวาด

ตอนนี้สิลูกรักของพ่อ เราฟังมาถึงตอนนี้ เราพอจะสรุปใจความได้ว่า
คนเราที่เกิดมาทุกคน จะมีฐานะเป็นยังไงก็ตามที เรื่องจะพ้นกฎของกรรมนั่นก็คือ เกิด แก่ เจ็บ ตาย นั่นไม่ได้ เพราะว่าพระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า
ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกมันเป็นอนิจจัง หาความเที่ยงไม่ได้ ถ้ามันไม่เที่ยง เราก็จะเข้าไปยุ่งกับความไม่เที่ยง ให้มันเที่ยงมันก็เป็นทุกข์ อารมณ์ของคนที่เป็นทุกข์มันก็เพราะไม่ยอมรับนับถือกฎของความเป็นจริง

คำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น สอนตามความจริง คือ ให้คนทุกคนไม่ฝืนความจริงเท่านั้น ถ้าคนใดไม่ฝืนความจริง คนนั้นไม่มีทุกข์

ดูตัวอย่างพระราชา ผ่านมาแล้วตั้ง ๓๗ รัชกาล สมัยพระเจ้าพังคราช นี่ท่านยืนยันเลยว่าเป็น พ.ศ.๙๐๐ ปี พอดีเป็นอันว่าราชวงศ์นี้ สืบราชสมบัติต่อมาเกินกว่า ๙๐๐ ปี ไม่มีการขบถ ไม่มีทรยศ ไม่มีการแย่งชิงความเป็นใหญ่ซึ่งกันและกัน

ตอนนี้ พ่อขอพูดเรื่องประเพณีนิยมของคนไทยหรือระเบียบวินัย คนไทยที่เป็นไทยจริง ๆ นั้น เป็นผู้รักธรรม ประกอบไปด้วยพรหมวิหารสี่ แต่ทว่าอาศัยความดีของคนไทย นี่ลูกรัก เราจึงต้องขยับขยายพื้นที่กันอยู่ตลอดเวลา ผ่านมา ๓๗ รัชกาล ข่าวการรุกรานประเทศ ข่าวการรบไม่มี เราจึงขยายเขตออกไปให้มันกว้าง ให้พอกับคนจำนวนมาก เพราะยิ่งนานปี คนก็เกิดมาขึ้นทุกที เวลานั้นพื้นที่ขยายไม่ยาก มันเป็นป่า คนอยู่กันเป็นหย่อม ๆ สมัยพระเจ้าพังคราชนี่ เรามีประชาชน ตั้งแต่แบผ้าอ้อมถึงคนแก่เหลาเหย่ทำอะไรไม่ไหวแล้ว ประมาณ ๑ แสนคนเท่านั้น แต่กำลังคนที่จะรวมเป็นกองทัพจับอาวุธสู้ได้คือ ตั้งแต่อายุ ๑๖ ปี ถึง ๖๐ ปี ได้ประมาณ ๓ หมื่นคนเท่านั้น เป็นการระดมพลใหม่

จงจำไว้ให้ดีลูกรักของพ่อทุกคนเป็นคนไทย เราเป็นคนไทย จงอย่าทำใจเป็นทาสทำใจของเราให้ทรงไว้ซึ่งความเป็นอิสรภาพ คือ ความเป็นไท สิ่งที่จะสร้างความสุขให้แก่ลูก อย่าลืมว่า ชีวิตของพ่อไม่นานนัก พ่อก็ตาย เวลานี้พ่อมีอายุใกล้ ๗๐ ปีเข้าไปแล้ว ดูพระราชาทั้งหลายเหล่านั้นท่านก็ตาย ความตายของพ่อก็มีจริง พ่อรู้ตัวว่าพ่อจะตาย ฉะนั้นทุกสิ่งทุกอย่าง วิชาความรู้ที่พ่อให้ลูก ลูกของพ่อทุกคน พ่อมีความรัก อย่าลืมนะว่าพ่อรักลูกทุกคน แต่ลูกจงระวังนะ คนอีกพวกที่เขาไม่ใช่ไท เขามีใจเป็นทาส เขาอาจจะมีพ่อเป็นไทย มีแม่เป็นไทย แต่ว่าใจเขาเป็นทาส ที่เขาคอยเข้ามาทำลายความสามัคคีของมันมีอยู่ เขาจะใช้วิธีง่าย ๆ คือ บอกลูกคนนั้น บอกลูกคนนี้ ให้ดูทีรึ เห็นไหมว่า พ่อรักเราไม่เสมอกัน เราเป็นคนจน เราเป็นคนมีความรู้ไม่ดี พ่อไม่ได้สนใจเราเลย ตอนนี้เขาจะแหย่นิด แหย่หน่อย แหย่ให้ลูกแตกความสามัคคี

ลูกจงระวังให้ดีนะ พ่อน่ะเป็นคนคนเดียวนะลูกนะ บางทีลูกของพ่อ พ่อนึกชื่อไม่ออกก็มีใช้อยู่ทุกวัน เพราะอะไรเพราะพ่อเหน็ดเหนื่อย ความเหนื่อยของพ่อนี่ลูก พ่อเหนื่อยจริง ๆ “แต่เพื่อลูกแล้วพ่อก็พร้อม แม้พ่อจะเหนื่อยแทบขาดใจตายเสียเวลานี้พ่อก็ทำ”

อีกประการหนึ่ง สังคหวัตถุ ลูกรัก ที่จะยึดเหนี่ยวน้ำใจซึ่งกันและกันไว้ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิชาความรู้ คือ มโนมยิทธิ ที่พ่อให้ไว้ ต้องรักษาไว้ด้วยชีวิตจิตใจของลูก จับไว้เฉพาะพระนิพพานเป็นอารมณ์
การจะทบทวนชีวิตเป็นของดี ว่าเราเกิดมาแล้วกี่ชาติ มันเสียหายตรงไหนบ้าง มันทรงอะไรไว้ได้บ้าง ทรัพย์สินที่หาไว้ได้เวลานั้น มันมีอะไรบ้าง จงระมัดระวัง

ขอลูกจงจำ การที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงให้เราตั้งศูนย์สงเคราะห์คนยากจนในถิ่นทุรกันดาร แล้วทรงประทานพระราชทรัพย์ร่วมมาด้วย และของที่โดยเสด็จพระราชกุศลก็มา "ควรทำต่อไป"

"ถ้าพ่อตายแล้ว พวกลูกยังทำกิจนี้อยู่ ก็ชื่อว่าลูกยังเกาะชายจีวรของพ่ออยู่"ในช่วงเวลาที่พ่อเปลี่ยนหน้าเทป มองไปทางด้านโน้นเขาเตรียมเพลงอะไรบ้างก็ไม่รู้ เห็นจะเป็นเพลงมอญ เล่นกัน เท่งทึ้ง ๆ เพื่อคลอเสียงพ่อพูด แต่เขาอยู่ไกลออกไป
ลูกเห็นไหมลูก นี่แหละเรื่องของโลกจะต้องเป็นอย่างนี้ ไม่ใช่ว่าจะเอาแต่ใจตัวเองเป็นสำคัญ

ขอมดำ

จาก หนังสือ เรื่องจริงอิงนิทาน (พิเศษ)


มาเลี้ยวเขาเรื่องของเราต่อไป เป็นอันว่า เมื่อพระเจ้าพังคราชบรมกษัตริย์พระบาทท้าวเธอต้องเถลิงราชสมบัติตั้งแต่อายุ ๑๘ ปี ท่านเป็นกษัตริย์แบบราษฎรธรรมดา ๆ พระราชาสมัยก่อน ยามปกติท่านก็เดินไป ดีไม่ดีก็ไปคนเดียว กลางค่ำกลางคืนไปเยี่ยมราษฎร และเวลาจะทำอะไรก็ต้องปรึกษาหารือกัน เขาเรียกว่าสมบูรณาญาสิทธิราช พระราชามีอำนาจแต่ผู้เดียว ความจริงนั่นเขาสมมติให้ เนื้อแท้จริง ๆ งานทุกอย่างต้องปรึกษาหารือซึ่งกันและกัน ไม่มีพระราชาองค์ไหนจะมีมัน

สมองทำคนเดียวไหว ต้องมีเสนาบดีมีข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ต้องมีข้าราชการชั้นผู้น้อย สมัยนั้นเราปกครองกันในวงแคบแค่เชียงแสนลงมาไม่ถึงเชียงใหม่แค่กว๊านพะเยานี่เดินมาก็ไม่ยาก ขี่ช้างชี่ม้ามาก็ไม่ยาก ดังนั้น พระราชาจึงเข้าถึงประชาชนได้ง่ายเพราะอยู่ในวงแคบ มีแต่ความรักกันมีความสุข ไม่เคยเกิดสงคราม ไม่เคยคิดว่าใครเขาจะมาทำสงคราม

สมัยนั้นเราอยู่กันแบบเงียบ ๆ เราไม่มีกองทหารใหญ่ มีแต่ทหารรักษาพระองค์ ซึ่งก็คือมหาดเล็ก หรือคนรับใช้เท่านั้นเอง ถ้ามีเรื่องราวเกิดโจรผู้ร้ายขึ้น และถ้าเจ้าของหมู่บ้านเขาไม่สามารถปราบได้ก็รายงานเข้ามาหมาดเล็กนี่แหละจะออกไปช่วยปราบโจรผู้ร้าย จะเรียกกองทหารก็ไม่เป็นกองทหาร

เวลานั้นเจ้าขอมดำหรือเจ้ามอญหริภุญไชย แถวนั้นคือเชียงใหม่ ลำพูน หากินไม่ได้ดี ทำนาก็ไม่ได้ดีเท่าเชียงราย ซึ่งเชียงรายหรือโยนกนคร หรือเชียงแสนสมัยนั้นมีความอุดมสมบูรณ์พูนสุขมาก ทำมาหากินทุกอย่างดีมาก จะค้าขาย ทำพืชไร่ก็ดีมาก ทองคำมีมาก

เจ้าขอมดำมันมีกำลังมาก เวลานั้นกำลังของเขากระจายไปทั่วประเทศไทย ปกครองสายใต้สุดถึงเลยเขตทวาราวดี นครปฐมลงไปอีก คนไทยเราอยู่เกลื่อนเวลานั้น แต่เขาไม่เรียกว่าไทย มาสมัยหลังเรียก ละว้า อยู่เป็นหย่อม ๆ ไม่มีกำลังจะเข้ามารวมตัวกัน จึงตกอยู่ในอำนาจของขอมโดยคิดว่าเขาจะว่าอย่างไรก็ช่างเขา เขาให้เสียภาษีอากรเล็กน้อยก็ให้เขาไม่คิดจะเป็นบ้านเป็นเมือง

พวกขอมดำนี่ไม่ใช่เขมร เป็นพวกที่ขาดเมตตา มีจิตคิดเห็นแก่ตัวอยู่ตลอดเวลา เขาส่งคนมาดูความอุดมสมบูรณ์ของโยนกนคร ส่งคนมาทำการค้าขายทุกจุด พร้อมกับดำเนินนโยบายการเมืองไปด้วย พวกนี้เป็นทหารของเราไม่ทราบ รัชกาลที่ ๖ ท่านตรัสไว้ว่า “ถ้ารักสงบ จงเตรียมรบให้พร้อมสรรพ” เขามาสืบกำลังคนของเราว่ามีกำลังคนจริง ๆ ทั้งหมดแสนเศษนิด ๆ เขากลับไปก็เรียกระดมพลได้แสนหนึ่งยกทัพมาเท่า ๆ กับประชาชนของเราที่มีอยู่จริง ๆ ม้าเร็วของเราจากกว๊านพะเยารีบเข้ามาแจ้งข่าวว่าขอมดำยกทัพตรงมาโยนกนครแล้ว

พระเจ้าพังคราชบรมกษัตริย์พระองค์เสวยราชสมบัติตั้งแต่อายุ ๑๘ ปี มาจนกระทั่งขอมดำยกทัพมาก็ ๒ ปี ผ่านไปเท่านั้น เวลานั้นพระองค์อายุ ๒๐ ปี ท่านก็ปรึกษามุขอำมาตย์และประชาชน ยกเว้นเด็กและคนชรา ไม่ว่าผู้หญิงผู้ชายออกรบหมด ถึงคราวจำเป็นแล้วก็รบเพื่อชาติ รบเพื่อความเป็นอยู่ ประมวลกำลังแล้วเวลานั้นท่านบอกว่าได้กำลัง ๓ หมื่นคน เศษอาวุธยุทโธปกรณ์ของเราก็ไม่พร้อม เรามีกองทัพช้าง กองทัพม้า กองทัพพลเดินเท้า กองเสบียง แต่ก็ไม่ได้เตรียมพร้อมเอาไว้ ก็ยกไปตั้งทัพรับเจ้าขอมดำที่ท้ายกว๊านพะเยา และเพื่อความไม่ประมาทพวกที่อยู่ในเมืองพระองค์สั่งให้ขนของมีค่าไปเก็บไว้ในถ้ำที่ต่าง ๆ ที่ดองตุงนี่ และสั่งพวกเด็ก ผู้หญิงทั้งหลายว่าถ้าไม่ไหวจริง ๆ ให้ถอยหลังไปอยู่ที่ ที่เวลานี้กองพล ๙๓ อยู่นั่น บางส่วนขยายไปทางแม่สายข้ามเขตแดนไปบ้าง กระจายกันอยู่ตามหุบเขา ตามถ้ำที่มีทางเขาได้ทางเดียว ถ้ากองทัพที่เรายกออกไปรับเขาสู้ไม่ได้ ก็จะถอยมาสู้กันเป็นจุดสุดท้ายตามด้วยกันที่นี่

การรบคราวนั้นรู้สึกสงสารพระเจ้าพังคราชบรมกษัตริย์ เพราะกองทัพของเราไม่ได้เตรียมฝึกไว้ก่อน เมื่อกองทัพต่อกองทัพปะทะกันสู้กันด้วยความสามารถ ขึ้นชื่อว่าไทยพร้อมที่จะสู้จนตัวตาย เพียงแต่ทัพหน้าของเขาก็เท่ากับกองทัพเราทั้งหมดที่ยกไป แต่เมื่อทัพหน้าเขาปะทะกับเราจริงๆ เขาก็แตกไม่เป็นขบวน นี่น้ำใจคนไทยนะลูกนะ เรื่องการรบกันก็ต้องตายด้วยกันทั้งสองฝ่าย แต่พอทัพหลวงของเขายกเข้ามา ปีกซ้าย ปีกขวาของเขาก็โอบเข้ามานี่เราสู้เขาไม่ได้ตอนนี้ตายฝ่ายต่างตาย เขาตายมากกว่าเรา เพราะเขามากกว่าเรามากนัก เพียงเขาใช้มือดันเราก็ต้านไม่ไหวแล้ว

เพราะกำลังเราน้อยกว่าเขามากนัก ทัพไทยก็จำเป็นต้องถอยแตกกลุ่มออกเป็นกองโจร คอยโจมตีข้าศึก การทำแบบนี้ไม่ได้หวังชนะหวังการประวิงเวลาของข้าศึกไว้ แล้วก็ส่งม้าเร็วเข้ามาในเมือง สั่งขนของไปยังที่นัดหมายกันไว้ สำหรับพระเจ้าพังคราชบรมกษัตริย์มีกองทัพคุ้มกันอยู่ส่วนหนึ่ง เมื่อขนของแล้วจะสั่งเผาเมืองก็กลัวขนของไม่ทัน คิดว่าเราแพ้เขาแน่ เขาได้แต่อาคารตัวเมืองไป ของมีค่าขนไปไว้ดอยตุงนี่บ้าง แม่สายนี่บ้าง ข้ามฝั่งไปบ้าง ประชาชนก็หลบตามเชิงเขา ตามถ้ำบ้าง กองโจรตีประวิงเวลาขนของนี่ประมาณเดือนเศษจนกองทัพใกล้โยนกนคร พระเจ้าพังคราชจึงให้ชักธงขาวขึ้นแสดงว่ายอมแพ้ เจ้าขอมดำเห็นเรายอมแพ้เขาก็วางอาวุธ เข้ามาจับพระเจ้าพังคราชไปพิจารณาโทษ


แต่ทว่ามีอำมาตย์ของขอมดำคนหนึ่งท่านบอกว่าชื่อ “พันจาม” เป็นแม่ทัพสำคัญ มีมันสมอง ได้กราบทูลเจ้านายเขาว่า พระเจ้าพังคราชนี่ไม่มีความผิด เพราะไม่ได้ยกไปตีเมืองเรา แต่เรายกมาตีเขา ถ้าจะฆ่าพระเจ้าพังคราชก็จะผิดความมุ่งหมายไปมาก เพราะเราต้องการพื้นที่ แต่การจะให้เป็นกษัตริย์ต่อไปนั้นเป็นไปไม่ได้ ควรจะส่งพระเจ้าพังคราชไปที่ “วังสีทอง” อยู่ทางแม่สายให้มีเนื้อที่ทำมาหากินประมาณแสนไร่ต้อนคนไทยทั้งหมดไปอยู่ในเขตนั้น นอกจากนั้น แผ่นดินทั้งหมดเป็นของขอมดำหรือมอญหริภุญไชย

...................................................

โยนกนครแตก


จาก หนังสือ เรื่องจริงอิงนิทาน (พิเศษ)


เราต้องแพ้สงครามคราวนั้น ลูกรักของพ่อ ลูกใช้ปุพเพนิวาสานุสติญาณซิลูกว่าตัวลูกอยู่ในสมัยนั้นด้วยหรือเปล่า ถ้าลูกใช้กำลังของทิพยจักขุญาณด้านปุพเพนิวาสานุสติญาณ คือระลึกชาติเฉพาะชาตินั้น ลูกจะเห็นภาพการรบ เห็นภาพการต่อสู้ ภาพการตาย ภาพการร้องไห้ เพราะกองทัพเราแพ้สงคราม ถ้าลูกมองไม่เห็นให้ใช้อตีตังสญาณดูแถวอดีตว่าสภาวะเป็นยังไง พ่อจะเล่าไม่ละเอียด

ตอนนั้นพระเจ้าพังคราชทำยังไงรู้ไหมลูก พระราชาต้องทรงไว้ซึ่ง ขัตติยะมานะ ท่านเป็นชายชาติทหารแท้ ๆ เขาสั่งประหารชีวิตแล้วถามท่านว่า กลัวตามไหม พระองค์ก็ตรัสว่า

"ขึ้นชื่อว่าความตายเป็นของธรรมดา เราเป็นคนไทย เป็นผู้บังคับบัญชาเขา เราพร้อมที่จะตายเพื่อคนอื่น ขอให้เราผู้เป็นกษัตริย์ตายแทนคนอื่นก็แล้วกัน คนอื่นไม่ต้องตายเพราะความเป็นผู้แพ้นี่ถือว่าเป็นความผิด แต่ความจริงเราไม่ได้คิดจะไปรบกับท่าน ท่านยกทัพมาเราก็ต้องสู้ เมื่อสู้ไม่ได้เราเป็นแพ้ ท่านต้องการอะไรก็เป็นเรื่องของท่าน เราเป็นคนของท่านซะแล้ว หมายความว่า เรื่องที่คิดจะสู้ท่านน่ะมันไม่มี เมื่อสู้ไม่ได้เรายอมแพ้ก็ต้องแพ้อย่างมีระเบียบวินัย นี่วิสัยไทยแท้"

พอพูดเท่านี้เล่นเจ้าขอมดำยิ้ม หน้าตาสดชื่น คิดว่าเป็นผู้ชนะแน่นอน ความใจอ่อนพร้อมกับ "พันจาม" แม่ทัพเขาห้ามปราบว่าไม่ควรฆ่าพระเจ้าพังคราช แต่ก็ควรใช้อำนาจของความเป็นผู้ชนะบังคับให้เราไปอยู่จุดใดจุดหนึ่งในฐานะผู้แพ้สงครามต้องส่งส่วยให้ขอมดำด้วย ปรากฏว่ามีคนของเขาคนหนึ่งค้านเรื่องส่งส่วยว่าในเมื่อเรายึดพื้นที่ ยึดเมืองแล้ว ทำไมต้องให้เขาส่งส่วยด้วย นี่ความจริงคนของเขาก็มีดีเหมือนกัน

แต่เจ้าขอมดำนายใหญ่ ในใจของมันคิดว่า คนไทยไม่ควรจะมีอยู่ในพื้นที่นี่ มันอยากจะขับไล่ไปเสียแล้ว ไปให้ไกลจากแดนอุดมสมบูรณ์ที่เขาต้องการ จึงบอกว่าการส่งส่วยเป็นของดีควรส่งส่วยเป็นทองคำปีละ ๘๐ ชั่ง (๑ ชั่ง = ๘๐ บาท ๘๐ ชั่ง ก็เป็นทองคำหนัก ๖,๔๐๐ บาท)

พระเจ้าพังคราชยืนฟังแล้วก็หนักใจ ว่าจะหาทองคำที่ไหนให้เขาได้ยังไงปีละตั้ง ๘๐ ชั่ง แต่มุขอำมาตย์ขอมคนหนึ่งเขาก็เสนอว่า ๘๐ ชั่ง มากเกินไปสำหรับคนไทยไม่ถึงแสนคนในเนื้อที่แสนไร่ไม่พอกัน ควรให้เป็นปีละ ๒๐ ชั่งก็พอ แล้วถามพระเจ้าพังคราชว่า ท่านจะหาทองคำให้เราได้ไหม พระเจ้าพังคราชก็ตอบว่า "เราเป็นผู้แพ้ก็เหมือนเป็นทาสรับใช้ของท่าน ท่านสั่งทำอะไรเราก็ต้องทำตาม"

นี่ลูกรักของพ่อ ตอนนี้ขอมดำเห็นใจ แต่ความโหดร้ายมันก็มีมาก จึงส่งพระเข้าพังคราชไปอยู่ที่ "วังสีทอง" ให้ไล่ต้อนคนไทยไปอยู่ที่นั่น ความโหดร้ายของขอม ลูกเขาเมียใครถ้ามันต้องการเอาไปบำรุงบำเรอมันชั่วคราวหรือตลอดกาลต้องเป็นของเขา การใช้งานต่าง ๆ ถ้าไม่เป็นที่ถูกใจมัน มันอยากจะฟัง อยากจะแทง อยากจะตี จะฆ่า ต่าง ๆ นานา ก็ทำได้ เพราะเป็นนโยบายไม่ต้องการให้คนไทยมีอยู่ในภูมิภาคนั้น

.......................................................

สภาพของผู้แพ้สงคราม

จาก หนังสือ เรื่องจริงอิงนิทาน (พิเศษ)

ตอนนี้ความเศร้าโศกโศกาดุลยภาพก็เกิดขึ้น นับตั้งแต่กองทัพเราแพ้เขาลูกรักเสียงระงมร้องไห้เซ็งแซ่ ตอนที่บรรดาขอมดำกวาดต้อนคนไทยจากเชียงแสนจากเชียงรายจากพะเยาไปรวมกลุ่มเดียวกันที่แม่สาย เขากั้นเขตให้อยู่เป็นจุดน้อย ๆ จะไปยุ่งอะไรนอกเขตไม่ได้ เพราะเป็นเขตของขอมเขาต้องการ

พระเจ้าพังคราชถึงกับน้ำตาตกใน แต่อาศัยที่เป็นกษัตริย์มีขัตติยะมานะ ต้องมีความเข้มแข็ง ต้องต่อสู้ด้วยความอดทน จะเหนื่อยจะยากเพียงใดก็ต้องพร้อมทุกอย่างที่จะยอมรับ พระองค์ก็สร้างวังพิเศษคือบ้านไม้ธรรมดาอยู่

เจ้าขอมดำเข้าเมืองโยนกนครแล้วหาทรัพย์สินมีค่าไม่ได้ มันจึงถามว่า เมืองไทยนี่ไม่มีทรัพย์สินเลยรึ ทองแท่ง เพชรนิลจินดา ก็ตอบเขาไปว่าเมืองไทยไม่ได้เตรียมรบอยู่กันอย่างพ่อแม่ปกครองลูก ทรัพย์สินในท้องพระคลังจึงไม่มี เราทำมาหากินร่วมกันแบ่งปันกันเฉย ๆ แต่ความจริงขนไปหมดแล้ว

เวลาผ่านไป พระมเหสีของพระเจ้าพังคราชก็ทรงพระครรภ์และคลอดพระราชโอรสให้นามว่า "ทุกภิกขะ" แปลว่าเกิดมาในท่ามกลางความทุกข์ ตลอดเวลาที่อยู่วังสีทองพระเจ้าพังคราชไม่ได้ทรงเครื่องแบบกษัตริย์เลย ทรงแต่งองค์แบบธรรมดา นุ่งกางเกงดำขา ๓ ส่วน ใส่เสื้อแขนกระบอกสีดำ แบบชาวบ้านธรรมดา ๆ ที่บรรดาลูก ๆ เห็นแล้ว

สรุปแล้วคนไทยต้องเป็นผู้แพ้สงครามเพราะ ๑.ไม่พร้อม ๒.บางครั้งมีคนขายชาติซึ่งเราต้องทำลายคนประเภทนี้ให้หมดไป ถ้าต้องการให้ไทยเป็นไทต่อไป

ลูกรักทั้งหลาย ตอนนี้เป็นตอนคนไทยเศร้า ขณะที่ลูกกำลังนั่งฟังพ่อพูดอยู่นี่จงใช้ปุพเพนิวาสานุสติญาณ และอตีตังสญาณ คือรู้ถอยหลังไปในเรื่องเก่า ๆ และปุพเพนิวาสานุสติญาณรู้ถอยหลังชาติของตนเองไปด้วย แต่ถ้าลูกไม่ถนัดการใช้ญาณแบบนี้ก็ให้กราบทูลถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือทูลถามท่านปู่ ท่านย่า หรือท่านแม่ ขอดูภาพในเวลานั้นว่าพวกเราที่นั่งฟังกันอยู่นี้มีส่วนร่วมในเหตุการณ์นั้น ๆ ด้วยหรือเปล่า อันนี้ลูกต้องคิดว่า

"ชีวิตของคนทุกคน ไม่มีอะไรจีรังยั่งยืน ภาวะของโลกทั้งหมดไม่มีความหมาย ตายแล้วก็เกิด เกิดแล้วก็ตาย เกิดแต่ละคราวเต็มไปด้วยความทุกข์ จงวางภาระอันนี้เสีย"
"จิตของลูกอย่าร่าเริงในกามารมณ์ อย่าร่าเริงในโทสะ อย่าร่าเริงในความหลง ตั้งจิตตรงเฉพาะพระนิพพาน"

ที่พ่อนำเรื่องนี้มาพูดก็เพื่อให้บรรดาลูกทุกคนมีความรู้สึกว่า "การเกิดแต่ละคราวมันมีแต่ความทุกข์"เรามาคุยกันต่อไปถึงเรื่องพระเจ้าพังคราช ในฐานะที่ตกเป็นเชลยศึก ลูกรัก เราไม่ได้ไปรบเขา อยู่ดี ๆ เขาก็มาตีเมืองเรา แล้วจับแม่ทัพนายกองทั้งหมด เราเป็นผู้แพ้ต้องยอมจำนน ลูกบางคนที่กำลังฟังพ่ออยู่คิดว่า "ทำไมคนไทยจึงไม่ยอมตายทั้งชาติเสียก็หมดเรื่อง" ลูกรัก ถ้าคิดอย่างนั้นก็ถือว่า "โง่เกินไป" ถ้าเราจะตายกันทั้งชาติน่ะตายได้ แต่เขาก็ครองเมืองเราสบาย การตัดสินใจคราวนั้น บรรดามุขมนตรีและนักรบทั้งหลายได้ประชุมกันโดยมีพระเจ้าแผ่นดินเป็นหัวหน้า นี่เขาเป็นประชาธิปไตย เมื่อยามประชาชนลำบาก เช่น ฝนแล้งไม่ตกต้องตามฤดูกาล เขาก็ขอให้พระราชาและพระเมหสีรักษาอุโบสถศีล หรือเมื่อข้าราชการบางคนทำไม่ดี ประชาชนก็มาประชุมกันที่พระลานหลวง ถวายฎีกา พระราชาก็รับไปชี้แจงเหตุผลเขาก็เข้าใจ เขาไม่ใช่มาเวิกว้าก ๆ แบบไฮปาร์คสนามหลวง พูดเอาเรื่องเอาราวไม่ได้ คนที่เชื่อก็แสดงว่าไร้ปัญญา

เมื่อพระเจ้าพังคราชกับบรรดาแม่ทัพนายกองถูกโจรปล้นเมือง ลูกรัก การไปอยู่วังสีทองเลยสันทรายไปทางแม่สายก็พอหากินได้แต่มีความลำบากเพราะเนื้อที่จำกัด เป็นภูเขาลำเนาไม้เสียก็มาก และต้องหาทองคำแท่งส่งส่วยขอมดำปีละ ๒๐ ชั่งอีก ประการสำคัญคนไทยต้องอยู่ใต้บังคับบัญชาของขอมดำทุกอย่าง ขอมต้องการอะไร คนไทยทุกคนต้องหาให้ ใครจะมีลูกเมีย ผัวใครก็ตามถ้าขอมต้องการ ไทยต้องให้ ทรัพย์สินของคนไทยทุกคนที่มีอยู่เป็นส่วนตัวถ้าขอมต้องการไทยต้องให้ ถ้าขอมไปทำอันตรายของคนไทยมีเรื่องราวเกิดขึ้น ขอมต้องไม่มีความผิด และคนไทยเท่านั้นที่จะต้องมีความผิด นี่เป็นกฎหมายของขอม

รวมความว่าสภาวะของคนไทยเวลานั้นตกอยู่ในความเป็นทาส ถ้าเราจะดูสมัยนี้ก็ดูลาว เขมร ตกเป็นทาสญวน ทรัพย์สินของคนทุกคนเป็นของรัฐ แม้ว่าไก่ตาย ๑ ตัวต้องแจ้งหัวหน้าหน่วย เขาอนุญาตให้กินจึงกินได้ ถ้าหัวหน้าเขาไม่อนุญาตก็ต้องนำไก่ไปให้เขาอาหารการกินเขาแจกให้ พอหรือไม่พอ อิ่มหรือไม่อิ่ม ไม่มีสิทธิ์อุทธรณ์ฎีกา ก็ต้องพอเพราะเขาให้เท่านั้น ห้ามพูด ห้ามคัดค้น จะแต่งตัวตามความต้องการไม่ได้ เสื้อผ้าเขาแจกให้เขมรที่หนี้เข้ามาบอกว่า ๓ ปีแล้วเขาแจกให้ชุดเดียว ลาวที่หนีเข้ามาบอกว่า เขาให้ข้าวเหนียววันละ ๑ ปั้นกับเกลือป่นแต่ต้องทำงาน ๘ ชั่วโมง เช้าก่อนทำงานต้องเข้าแถวรับการอบรม เย็นเลิกงานแล้วยังพักผ่อนไม่ได้ต้องเข้ารับการอบรมอีก การอบรมนี่ทุกคนต้องฟังเขาอย่างเดียว ถ้าใครลุกขึ้นคัดค้านเขาจะไม่ว่า แต่หลังจากอบรมจะมีคนมาถามว่า ทำไมจึงไม่เห็นด้วย คนนั้นเขาอธิบายว่าตามปกติควรจะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ เขาก็ตอบว่าคุณยังไม่เข้าใจ แล้วก็เชิญไปรับการอบรมใหม่แล้วก็หายสาบสูญไปเลย เป็นปุ๋ยไปคือตาย

เห็นไหมลูก สมัยโน้นกับสมัยนี้ไม่ต่างกัน สมัยที่เราแพ้ขอมตกเป็นทาสขอม กับสมัยนี้ที่ลาวแพ้ญวน เขมรแพ้ญวนมีสภาพไม่ต่างกัน นี่เรายังจะยังเป็นผู้แพ้อยู่ต่อไปหรือยังไง ตอนนี้เราไม่มีที่ไป สมัยพระเจ้าพังคราชป่าเยอะ ขายออกไปได้มาก

เป็นอันว่าพระเจ้าพังคราชก็ดี แม่ทัพนายกองก็ดี ต้องยอมให้ขอมดำปลดอาวุธมีสภาพเหมือนตุ๊กตา หลังจากนั้นต้องพยายามกวาดต้อนคนไทยทิ้งบ้าน ทิ้งเมืองไปอยู่แดนกันดารในวงแคบ ตอนนี้แหละลูกหลานที่รัก จงใช้อำนาจของปุพเพนิวาสานุสติญาณถอยหลังชาติของลูก หรือใช้อตีตังสญาณร่วมกัน แต่ถ้าไม่ถนัดก็ขอเฝ้าองค์สมเด็จพระทรงสวัสดิโสภาคย์คือพระพุทธเจ้า กราบทูลถามขอดูภาพในสมัยนั้น ว่า เราทุกคนที่มานั่งอยู่ที่นี่อยู่ร่วมในที่นั้นด้วยหรือเปล่า ถ้าไม่ได้อยู่ร่วมก็ขอเห็นภาพเวลานั้นเป็นอตีตังสญาณ

ภาพความโศก ความเศร้ามันหาอะไรดีไม่ได้เลย มันมีแต่ความระทม เสียงระงมไปด้วยความร่ำไห้ ส่วนหนึ่งของคนไทยที่ขนของไปเก็บไว้ที่ดอยตุงที่เรานั่งกันอยู่ที่นี่ เก็บตามถ้ำซอกซอย สุมทุมพุ่มไม้ และแถวกองพล ๙๓ อยู่เวลานี้ จุดนี้เรายึดสู้เป็นจุดสุดท้ายคิดว่าขอมบุกเข้ามาเมื่อไร เราสู้ตาย ในเมื่อเรายอมแพ้เขาแล้ว เขายังตามมา ก็แสดงว่าเขาจะสังหารเราทั้งชาติ เขาต้องการครอบครองที่เดินเรา เขาไม่ต้องการคน มีเสียงระงมร่ำไห้เสียดายทรัพย์สินที่ยังขนไปไม่ได้ ก่อนขอมจะเข้าเมืองเขาส่งคนไปบังคับขับไสคนไทยไล่ให้ไปอยู่ในเขตที่เขากำหนดไว้ มีสันทรายเป็นแดนกั้น เลยขึ้นไปเป็นของไทย ตั้งแต่แม่น้ำโขง เลยมาถึงแม่น้ำกก นี่เป็นที่ที่ไทยอยู่ นอกนั้นเป็นของขอม ข้าว ปลา นาเกลือ บ้านช่อง ทรัพย์สินทั้งหมด ขอมบอกว่า ไม่ต้องเอาไป ให้ไปแต่ตัวกับผ้าเก่า ๆ ห่อหนึ่ง

ลูกหลานที่รัก ฟังแล้วเศร้าไหมลูก ความเป็นผู้แพ้ของคนไทยคราวนี้
ลูกจะคิดว่าพระเจ้าพังคราช ประมาทหรือไม่ที่ไม่เตรียมการรบ ก็อย่าลืมว่า ทุกคนนับถือพระพุทธศาสนา มีศีล มีเมตตา มีสังคหวัตถุซึ่งกันและกัน แต่เราก็ต้องย่อยยับถึงเพียงนี้นั้นเราจะโทษใคร
โทษพระพุทธศาสนาก็ไม่ได้ เพราะพุทธศาสนาสอนให้คนอยู่ด้วยกันด้วยความสุข แต่ความทุกข์มันมาจากที่อื่น เราอยู่เป็นสุขมาตั้ง ๓๗ รัชกาล พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า "ท่านทั้งหลาย จงยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อม" หมายความว่าในขณะที่เราประพฤติธรรมเราก็ไม่ประมาท เวลาปกครองชาติเราก็ไม่ประมาท ความจริงสมัยนั้นเราประมาทไปนิดหนึ่งว่า ความจริงพวกขอมดำก็มีพระพุทธศาสนาสอนในเขตเขาอยู่แล้ว เขาก็พยายามก่อสร้างเจดีย์หรืออะไรก็ตามขึ้นมาเสริมบารมี ในเขตลำพูนหรือหริภุญไชย และที่จอมทอง เชียงใหม่ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เคยเสด็จที่จอมทองมาก่อนแล้วทรงสั่งพระมหากัจจายนะมาประกาศพุทธศาสนา เราถือธรรม คิดว่าเขาจะถือธรรม รวมความว่าใจเขาถือสากปากเขาถือศีล

เอาละลูก ตอนนี้ก็มีแต่เสียบระเบ็งเซ็งแซ่เสียดายทรัพย์สิน บ้านเรือนแต่ละหลังกว่าจะปลูกขึ้นมาได้ก็ต้องใช้กำลังงาน กำลังเงินมาก ทรัพย์สิน วัว ควาย ขอมบอกไม่ต้องเอาไป แต่ก็มีอยู่บ้างบางส่วนที่เราไล่วัวควายของเราไปไว้บ้างแล้ว รวมความว่าคนไทยทุกคนต้องเดินน้ำตาร่วง ก่อนคนไทยจะไป ขอมใช้ทำอะไรก็ต้องทำทุกอย่าง ถ้าไม่เป็นไปตามใจขอม เขาก็เฆี่ยน เราก็เตะ เขาก็กระทืบ เขาจะฟาดฟันทำให้เป็นแผล หรือฆ่าให้ตาย ยังไงก็ทำได้ เพราะเขาต้องการให้ไทยไปพ้นจากเขตนี้ นี่เป็นน้ำใจของขอม ในเมื่อเราเป็นทาสเขาก็ไม่มีอะไรดี ความเมตตาปรานีของคนที่เป็นนายไม่มีในเรา ลูกเขาเมียใคร ถ้าขอมต้องการต้องได้ ดูตัวอย่างลาวแพ้ญวน หญิงสาวของลาวตั้งแต่อายุ ๑๓ ปี ขึ้นไป ทุกคนต้องไปนอนสามัคคีกับทหารญวน ถ้าหากผู้ใหญ่ญวนต้องการ เขาเรียกว่าไปนอนส่องแสงหรือนอนแสงสว่าง ก็รวมความว่า เขาเอาไปทำปู้หย้ำปู้ยีเอาตามใจ แต่ไอ้ศัพท์ที่ใช้มันคนละเรื่อง เขาเลือกใช้ศัพท์เรียกดี แต่แท้จริงก็คือผู้หญิงลาวเป็นช้อคการีนั่นเอง มันช้ำใจไหมลูก ผู้หญิงน่ะมีหัวใจหรือเปล่า มีความต้องการในความรักตามที่ตนปรารถนาหรือเปล่า หรือว่าใครก็ได้ ความจริงผู้หญิงทุกคนมีหัวใจมีความปรารถนาตามน้ำใจของตนเอง

..............................................

น้ำพระทัยพระเจ้าพังคราชบรมกษัตริย์

จาก หนังสือ เรื่องจริงอิงนิทาน (พิเศษ)


เป็นอันว่า สภาพของคนไทยตอนนี้ต้องอุ้มลูกจูงหลานหอบหิ้วกันไป เดินไปนะ ยานพาหนะขอมก็ไม่ให้ใช้ มันยึดเอาไว้หมด ชักช้าประวิงเวลาเพราะเสียดายทรัพย์สินก็ไม่ได้ เพราะหวายในมือขอม มีด อาวุธในมือขอม จะถูกต้องร่างกายคนไทยขวับทันที เมื่อไปถึงที่แล้ว ก็ช่วยกันปลูกบ้านธรรมดา ๆ ให้พระเจ้าพังคราชอยู่ เพราะเขายังมีความเคารพพระองค์อยู่แบบชาวบ้านธรรมดา ๆ

การอพยพไปเวลานั้นเป็นกลุ่ม ก็สร้างบ้านไม่ทันซีลูกเอ๋ย ก็ต้องกวาดบริเวณพื้นที่ดินตามโคนต้นไม้ แล้วก็ใช้เป็นที่นอนกัน อาหารการกินมีจำกัดคือจำกัดไม่พอ ต้องหุงข้าวด้วยกะทะใบใหญ่ ขุดหัวเผือกหัวมันมาต้มกินกัน เพราะไม่มีข้าวกิน ความยากลำบากมันสาหัสถึงเพียงนี้ แล้วเจ้าขอมดำอัปรีย์มันยังมารบกวนต่าง ๆ นานาอีก ทุกสิ่งทุกอย่างเต็มไปด้วยความเป็นทาส บางคราว ๔-๕ วัน ข้าวตกถึงท้องสักเมล็ดก็ไม่มี เพราะว่ามันไม่มีจะกิน ข้าวที่ขนไปก่อนก็น้อย เอามากินไม่พอ ก็พยายามทำทุกอย่าง ที่ไหนมีหนองน้ำ พยายามทำข้าวใกล้ ๆ วัวควายไม่พอก็ใช้ไม้กระทุ้งลงไป เอาเมล็ดข้าวหยอดลงไปเรียกว่า ข้าวหยอด โพงน้ำขึ้นมาจากสระ จากบ่อ ให้ต้นข้าวได้อาศัยเรียกว่า ข้าวพันธุ์เบา ๓ เดือน ออกรวงได้กิน แต่ก็ยังไม่พอกันกิน

นอกจากนั้น ยังมีงานหนักคือหาที่ร่อนทองคำ แม้แต่พระเจ้าพังคราชเองก็ต้องเสด็จร่อนทองเหมือนกัน พยายามหาทองให้เขาให้ได้ปีละ ๒๐ ชั่ง ลูกหลานที่รัก มันไม่น้อยเลย ๒๐ ชั่ง นะ ไม่ใช่ ๒๐ บาท แต่ว่าคนไทยในสมัยนั้นฉลาดในการหาทอง ดูพื้นดินที่มีสีอรุณจะเป็นดินแข็งดินร่วนก็ตาม (ดินสีอรุณมี ๒ อย่าง แบบขุยปู กับแบบดินร่วน ดินแบบขุยปูนี่ไม่มีทองคำ แบบดินร่วนจึงมี) ดินสีอรุณดำมีเกล็ดอะไรระยิบระยับหน่อย ๆ เป็นเครื่องสังเกต และอีกประการหนึ่ง ถ้าทองคำมีที่ไหนดินตรงนั้นมีความอุ่นกว่าดินธรรมดานี่ท่านบอกมายั้งงี้ พ่อก็พูดตามท่าน

การร่อนทองนี้พระเจ้าพังคราชเสด็จร่อนเอง บรรดาข้าราชบริพารก็ร่อนทองกันหมด บางคนที่มีความเคารพในพระเจ้าพังคราชก็เข้าไปกราบ แล้วทูลว่า "พระพ่อเจ้าอย่าทำเลย ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นภาระของลูก" ท่านก็บอกว่า เวลานี้เราทุกคนอยู่ในความลำบาก อยู่ในความทุกข์ยาก จะให้ท่านปลีกตัวไปแต่ผู้เดียว นั่งคอยรับรายงาน อันนี้เป็นไปไม่ได้ เวลานี้เรารับทุกข์ร่วมกัน การกินการอยู่ก็เหมือนกัน พระองค์มีอะไรกินคนอื่นก็มีด้วย กินหัวเผือกหัวมันก็กินด้วยกัน มีแกงมีกับก็ต้องมีเหมือนกัน บางทีพระองค์มีกับข้าวดี ๆ ก็เอาไปให้ราษฎรกิน พระองค์ก็ไปกินหัวเผือกหัวมัน กินพริกเผาที่ไม่มีกะปิ กับผักหญ้าธรรมดา พระองค์ตรัสว่า กินเท่านี้ก็อิ่ม ขอให้ทุกคนอิ่มก็แล้วกัน ท่านอิ่ม ถ้าทุกคนมีความสุขท่านก็มีความสุข ถ้าทุกคนมีความทุกข์ ท่านจะสุขไม่ได้

ลูกรักของพ่อ ฟังเรื่องที่เล่ามารู้สึกยังไงบ้างลูก ขึ้นชื่อว่าความเกิด พระพุทธเจ้าตรัสว่า "ชาติปิทุกขา ความเกิดเป็นทุกข์ ชราปิทุกขา ความแก่เป็นทุกข์ มรณัมปทุกขัง ความตายเป็นทุกข์ โสกะปริเทวทุกขโทมนัส สุปายาส ความเศร้าโศกเสียใจ ความพลัดพรากจากของรักของชอบใจเป็นทุกข์" นี่มันทุกข์สำหรับเรา

แต่ทุกข์ในสมัยนั้น ลูกรัก ทุกข์จากพ่อตาย พี่ตาย ลูกตาย ผัวตายในการทำสงคราม ความตายเกิดขึ้นแต่ละคนก็เต็มไปด้วยความทุกข์ เห็นไหมลูก พ่อตายคนเดียวร้องไห้ไปตั้งหลายวัน แม่ตายคนหนึ่งร้องไห้กันไปตั้งหลายวัน เวลานั้นเรายกกองทัพไป ๓ หมื่นคนเศษ เราเสียกำลังคนไป ๒ พันคนเศษ ประเพณีคนไทย คนตายแล้วต้องทำศพนิมนต์พระมาสวด แต่เวลานั้นเราไม่มีสิทธิ์จะทำแบบนี้ได้ ความเศร้าโศกเสียใจที่คนไทยต้องตายหรือบาดเจ็บมันมีอยู่แล้ว แถมยังเจ็บใจหนักไปกว่านั้น ขอมมันไล่ที่ ลูกหลานที่รัก มันบังคับให้เราไปอยู่ที่ไหนก็ต้องไปที่นั่น ความเป็นผู้แพ้มันเป็นอย่างนี้นะ ขอลูกรักจงจำไว้ว่าไทยเราต้องไม่เป็นผู้แพ้ ครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้าย แล้วพ่อจะพูดให้ฟังว่าการเป็นผู้ไม่แพ้มันจะมีสำหรับเรา

นี่เราแพ้เพราะอะไร เราแพ้เพราะเราไม่พร้อมในการเตรียมรบ แต่เราจะโทษใครเล่า เรามีความสุข เราเชื่อพระพุทธศาสนา เรามีความสามัคคี ๓๗ รัชกาลไม่เคยมีปฏิวัติรัฐประหาร ไม่มีใครบ้า ๆ บอ ๆ แสดงความวิเศษอวดตัวว่าถ้าฉันทำจะดีอย่างนั้น ถ้าฉันทำจะดีอย่างนี้ และสมัยก่อนไม่มีการเปลี่ยนผลัดรัฐบาลบ่อย ๆ

การเปลี่ยนผลัดรัฐบาลบ่อย ๆ การเลือกผู้แทนบ่อย ๆ ลูกหลานที่รัก ภาษีอากรที่เราต้องเสียไปเพราะการเลือกผู้แทนราษฎรครั้งละหลายร้อยล้านบาท และเงินหลายร้อยล้านบาท นี่ถ้าเราจะนำมาใช้ในแง่เศรษฐกิจ และความมั่นคงของชาติมันก็ดี แต่การเลือกผู้แทนเข้ามา ถ้าได้คนดีมันก็ดี แต่ส่วนมากพ่ออยากจะคิดว่าผู้แทนรษาฎรควรจะมีประวัติผ่านการงานมาแล้ว ดูประวัติส่วนตัวเขาว่า เคยโกงเคยกินมาบ้างหรือเปล่า เคยอู้งานมาบ้างรึเปล่า บางทีเคยขึ้นไปบนสำนักงานที่ว่าการอำเภอ ที่ว่าการจังหวัด เวลาข้าราชการมาทำงาน ๘ โมงครึ่ง นี่ ๑๐ โมงครึ่งคนยังมาไม่ครบ ที่มาแล้วก็ไม่สนใจงาน สนใจสรวลเสเฮฮาคนประเภทนี้เขามีไว้ทำไม นี่เขาช่วยกันทำลายชาติ นี่ต้องดูประวัติงานประเภทนี้ ถ้าไม่ดีเราก็ไม่เลือก

การเลือกเข้าไปบางทีเอาใครต่อใครเข้าไปก็ไม่ทราบ เราก็ยังต้องเสียเงินจ้างเขาอีก ไปนั่งถ่วงเวลางาน แทนที่จะก้าวหน้าไปได้ก็ไม่ไปไม่ได้ ถ่วงกันไปถ่วงกันมา ให้เวลา ๑๕ นาที พูดไม่เป็นเรื่องแต่อยากพูด จ้างให้เขาไปถ่วงความเจริญของชาติ คนที่เป็นรัฐบาลก็เหมือนกัน ไม่ใช่ว่าดีทุกคนและก็ไม่ใช่ว่าเลวทุกคน การเลือกบ่อย ๆ มันก็เหมือนฝูงเหลือบหิว เหลือบฝูงก่อนกินจนอิ่มแล้สมันก็เกาะเฉย ๆ เหมือนเรื่องในสุภาษิต คนที่บริหารประเทศก็เหมือนกัน พ่อเห็นว่าเป็นพวกที่มีสภาพเหลือบนี่มาก แต่ทว่าคนชั่วก็มี คนดีก็มากนะลูกนะ เราสังเกตดูก็แล้วกันว่า ก่อนที่เขาจะเป็นผู้แทน ก่อนเป็นรัฐมนตรีน่ะเขามีฐานะแบบไหน พอเป็นผู้แทนเป็นรัฐมนตรีแล้ว เขามีฐานะแบบไหน มันดีขึ้นไหม ถ้าใครดีขึ้นกว่าเก่าคนนั้นเลิกคบ มันต้องแค่เก่านั่นแหละ ถ้าฐานะมันดีขึ้นกว่าเก่านั่นเขาโกงกินกัน

เป็นอันว่า ๑. เงินเดือนเราก็ต้องให้เขา ๒. ค่าพาหนะต่าง ๆ นี่เขาไม่ต้องเสีย เราก็ต้องให้เขา ๓. มีอภิสิทธิ์ ๔. ยกมือมีค่านิ้วมือ ๕. ก่อกวนความเจริญของชาติ ๖. ถ่วงความเจริญของชาติ ๗. ทำลายชาติ และยังมีอีกหลาย ๆ อย่างสังเกตเอาก็แล้วกัน ใจพ่อน่ะไม่อยากให้มีผู้แทนนะ แต่ถ้ามีผู้แทนเป็นคนดีอยากให้มี แต่ถ้าเป็นผู้แทนเลวประเภทนั้นละก็เอาเงินจำนวนที่จ้างเขามาบำรุงประเทศชาติดีกว่า ถนนหนทางที่ไหนไม่ดี ชลประทานที่ไหนไม่ดี เอาเงินนั้นมาทำ เงินที่เราจ่ายไปนี่เป็นหมื่น ๆ ล้านนะ ทั้งเงินเดือน เบี้ยเลี้ยง เงินกิน ทั้งโกงทั้งกินน่ะ เราต้องเสียไปเป็นหมื่น ๆ ล้านบาท เอามาบำรุงเศรษฐกิจของชาติดีกว่า

มาว่าถึงความยากลำบากของคนไทยสมัยนั้น จะทำศพคนตายก็ทำไม่ได้ ความเศร้าใจที่เกิดขึ้น ใช้อตีตังสญาณนะลูกรัก และก็ใช้ปุพเพนิวาสานุสติญาณ หรือลูกจะทำง่าย ๆ เอาจิตจับพระนิพพาน กราบทูลถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าดูว่า พวกเราที่นั่งอยู่ที่นี่ในสมัยนั้นไปนั่งร้องไห้กับเขาด้วยหรือเปล่า จับดาบเพื่อการรบหรือเปล่า ต้องถูกขอมดำข่มเหงทำอันตรายหรือเปล่า แล้วจำไว้ว่า ผู้แพ้ไม่ใช่ของดี

ตอนนี้พระเจ้าพังคราชไม่เคยแต่งตัวเป็นกษัตริย์ เคยแต่นุ่งกางเกงดำอย่างเดียวบางครั้งก็ใส่เสื้อ บางครั้งก็ไม่มีเสื้อ แต่ความจริงรูปร่างท่านสวยสดงดงามมาก ผิวพรรณดีลงร่อนทองคำกับเขา และทำทุกอย่าง เช้าขึ้นตื่นแต่เช้าในฐานะผู้นำช่วยกันร่อนทองได้ ๒๐ ชั่ง ก็เก็บไว้ส่งส่วยขอม ต่อไปก็ร่อนเพื่อขายเพื่อความเป็นอยู่ของประชาชน เมื่อทุกคนได้ทองมาแล้วก็มารวมที่พระราชา ท่านก็ขายทองเหล่านั้นเอาเงินซื้อของมาแบ่งปันกันกินการแบ่งปันก็เต็มไปด้วยความบริสุทธิ์ยุติธรรมตั้งหัวหมู่นายกองที่ดี ที่มีความยุติธรรมให้มารับส่วนแบ่งปันไปแบ่งกัน แต่ทว่าตอนนั้นก็ยังมีกินบ้าง ไม่มีกินบ้าง

ตอนนี้ไม่ใช่ประวัติศาสตร์ เป็นเรื่องของธรรมศาสตร์ คือว่าท่านท้าวโกสีสักกะเทวราช คือพระอินทร์ ทนดูดีต้องรับความลำบากไม่ไหว ที่คนไทยมีความเคารพในพระพุทธศาสนาต้องมาลำบาก ตอนนี้ลูกกราบทูลถามพระองค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้านะ อย่าใช้ญาณส่วนตัวมันจะผิด ขอดูภาพ ท้าวโกสีสักกะเทวราชมองดูความลำบากของพระเจ้าพังคราชมาประมาณ ๔ เดือน คือว่ามันเป็นกฎของกรรมอย่างหนึ่ง ในสมัยก่อนอดีตชาติท่านเคยทำให้เขาพลัดพรากจากกัน ชาติไหนก็ไม่ทราบ กรรมมันตามทัน และคนไทยพวกนี้ก็อาศัยกรรมจากการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ฆ่าปลาตัวหนึ่งก็อย่าลืมว่า ปลามันก็มีผัวมีเมียมีพ่อมีแม่ โทษจากการทำลายชีวิตเขา การพลัดพรากจากของรักของชอบใจ พลัดพ่อพลัดแม่มันก็เป็นกรรมตามสนองส่วนหนึ่ง ที่ต้องเสียทรัพย์สินไปก็เพราะโทษทำอทินนาทาน การลักการขโมย การยื้อแย่งทรัพย์สินบุคคลอื่นเขา ที่ต้องเสียผัว เสียเมียให้แก่ขอมเพราะโทษกาเมสุมิฉาจาร และที่เราขอร้องให้ขอมเมตตาเราว่าจะเป็นทาสก็ไม่ว่าขออยู่ที่เดิม ขอมก็ไม่ยอม นี่เป็นโทษมุสาวาท บางคนถึงกลับคลุ้มคลั่งไปบ้างถึงกับเสียอกเสียใจเพราะผัวตาย ลูกตายในสนามรบก็เป็นโทษของการดื่มสุราและเมรัย เป็นอันว่ากรรมเก่าทั้งหลายเหล่านี้มันมาสนอง แต่ความดีก็มีอยู่มาก

......................................................

ท้าวโกสีสักกะเทวราชเสด็จมาโปรดคนไทย


จาก หนังสือ เรื่องจริงอิงนิทาน (พิเศษ)

ฉะนั้นท้าวโกสีสักกะเทวราชคือพระอินทร์ เห็นพระเจ้าพังคราชกับบรรดาประชาชนชาวไทยอดอยากมานาน เพราะกรรมเก่ามันลงโทษ และเห็นว่าบุคคลคณะนี้แม้ว่าจะเป็นทาสเขา เขาจะไล่เขาจะดี แต่การไหว้พระ การภาวนา การเจริญพระกรรมฐานยังคงเป็นไปตามปกติ และทุกคนยังมีจิตเผื่อแผ่สงเคราะห์กันในด้านสังคหวัตถุ คือมีอะไรก็ให้กันมีวาจาไพเราะเป็นที่รักซึ่งกันและกัน ช่วยกันทำงานทุกอย่าง ไม่ถือตัวถือตน คนดีอย่างพระเจ้าพังคราช หรืออำมาตย์ราชวงศ์ต่าง ๆ ไม่ถือตัวว่าเป็นจ้าว ทำตนเสมอกัน แต่งตัวเสมอกัน ไม่มีใครดีใครเด่นกว่ากัน ทรัพย์สินที่มีอยู่ก็ปันส่วนกัน รวบรวมกำลังกัน ไม่อิจฉาริษยาซึ่งกันและกันทั้งหมด เห็นไหม เขาดี คนมีศีล มีธรรม และกรรมเก่าที่ให้ผลสลายตัวไปแล้ว ก็ทำให้พระอินทร์ทรงทราบว่า เวลานี้พระเจ้าพังคราช และคนไทยที่เป็นนักบุญกำลังลำบากมาก จึงแปลงกายเป็นเด็กน้อยอายุประมาณ ๑๒ ปี ออกมาจากป่าใช้ใบไม้นุ่งเป็นผ้าเป็นเสื้อแทน ทำเงอะงะเซอะซะเข้าไปหาพระเจ้าพังคราช ทีแรกบรรดาประชาชนทั้งหลายเขากันไว้ แต่พระเจ้าพังคราชบอกอย่ากัน จะเป็นใครมาจากไหนก็ตาม เราถือว่าเป็นคนเหมือนกัน เราจะต้องอยู่ร่วมกันได้ พอเด็กนั้นเข้ามาหาพระเจ้าพังคราชแล้วก็แนะนำว่า

"แร่เพรียงไฟ มีอยู่ตรงโน้น ในป่าลึกเลยกว๊านพะเยาไปนิดหน่อย อยู่บนยอดเขา"
"ดีบุก มีอยู่ที่นั่น"
"แร่ทองแดงอยู่ตรงนี้"
"สารปากนกแก้ว มีอยู่ที่นั่น"
แล้วเด็กคนนั้นก็พาไปดู ให้ขุดลงไป พบแล้วก็ชี้ว่า นี่เขาเรียกแร่เพรียงไฟ อันนี้เรียกดีบุก นี่เรียกทองแดง นี่เรียกสารปากนกแก้ว เอาส่วนต่าง ๆ มาผสมกัน


..................................

สูตรทำทองคำ

จาก หนังสือ เรื่องจริงอิงนิทาน (พิเศษ)


สารปากนกแก้วใช้ ๑ ใน ๔ ของแร่เพรียงไฟ ดีบุก แร่ทองแดงซึ่งใช้อย่างละเท่า ๆ กัน หลอมในเตาธรรมดา ๆ หลอมให้ดู ทำอุปกรณ์แบบย่อม ๆ ให้ดูว่าทำแบบนี้ หลอมแบบนี้เมื่อหลอมแร่เพรียงไฟ ดีบุก แร่ทองแดง อย่างละเท่า ๆ กันดีแล้ว ก็เอาสารปากนกแก้ว ๑ ใน ๔ ของแต่ละอย่างใส่ลงไป ได้เป็นทองคำ ๑๐๐% เด็กนั้นทำให้ดู ทุกคนยิ้มหน้าใส ตั้งกะทะใบใหญ่ ๆ เป็นกลุ่ม ๆ ทำกันมาก ๆ ตามโคนต้นไม้ แต่ว่าเด็กน้อยนั้นบอกว่า ต้องไปทำตามถ้ำตามป่าหลบไปทำ อย่าให้ขอมดำมันเห็นเป็นอันขาด มิฉะนั้นจะเสียผล ทุกคนก็ปฏิบัติตามนั้น

คราวนี้ทองคำอุ่นหนาฝาคั่ง ทองคำ ๒๐ ชั่ง ทำเสร็จภายใน ๑ เดือน นอกนั้นเอาไปขาย เดินไปขายกันยันประเทศอินเดียโน่น สายใต้ก็เดินไปขาย เป็นอันว่าความอุดมสมบูรณ์เกิดขึ้นสำหรับคนไทย เพราะอาศัยความดีที่มีศีล ๕ บริสุทธิ์ เพราะเด็กคนนั้นบอกว่า ต้องมีศีล ๕ บริสุทธิ์จึงจะทำทองได้ พวกร่อนก็ร่อนไป พวกทำก็ทำไป ทั้งผู้หญิงผู้ชาย

เมื่อมีทรัพย์สินอุดมสมบูรณ์แล้วก็เริ่มปลูกบ้าน พวกทำทองก็ทำไป ปลูกบ้านอยู่กันเป็นกลุ่ม ๆ มีหัวหน้ากลุ่มที่เรียกว่า กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน สำหรับพระเจ้าพังคราชประชาชนเขาก็บังคับว่า ให้ตั้งตัวเป็นกษัตริย์ ห้ามไปยุ่งกับงานของชาวบ้าน พระองค์ก็บอกว่า ท่านทั้งหลาย เราจนด้วยกัน เราลำบากด้วยกัน ทำไมมากีดกันแบบนี้ แต่เอาละเมื่อทุกคนต้องการให้ฉันเป็นกษัตริย์ ฉันก็จะเป็น แต่ต้องเป็นกษัตริย์แบบพ่อคน พี่คนหรือน้องคน ไม่ใช่กษัตริย์แบบนายคน เอาเปรียบคน อันนี้ไม่เป็น และต้องมีอิสระไปไหนไปได้ ช่วยทำอะไรก็ช่วยได้

บรรดาประชาชนทั้งหลายเขามีความดี เขายอมรับ แต่เขาก็มีกฎบังคับว่า ถ้าพระองค์จะลงไปร่อนทองหรือทำทองต้องได้รับอนุญาตจากประชาชนก่อน นี่เห็นจะเป็นประชาธิปไตยแท้ ไม่งั้นท่านทำงานเรื่อย บางทีหนาว ๆ ทองอยู่ในน้ำท่านก็กระโดดลงไปก่อนนำคน นี่เป็นผู้นำแท้ ตอนนี้ทำทองได้แล้วเด็กที่มาแนะนำก็หายไปแล้ว การแบ่งของกันก็ให้เสมอกัน คนเอาทองไปขายก็ไม่มีค่าจ้างรางวัล คนร่อนทอง นำทองทั้งหมดเอาของมารวมกัน แล้วแบ่งปันเสมอกัน นี่ลูกรักคนไทยสมัยนั้นนะ

พระเจ้าพังคราชก็เริ่มอยู่บ้านใหญ่ มีห้องโถงกว้าง แต่ไม่ถึงกับท้องพระโรง ประชาชนเขาปลูกให้ ทำด้วยไม้ เป็นที่ประชุมกัน พระองค์ออกตรวจตอนเช้า กลางคืน บางทีดึก ๆ ก็ออกตรวจตามหมู่บ้านต่าง ๆ มีอำมาตย์ ข้าราชบริวาร ถืออาวุธตามไปด้วยพร้อมที่จะห้ำหั่นใครก็ตามที่มาโกงคนไทย เพราะเจ้าขอมดำเข้ามาโกงบ่อย ๆ ดีไม่ดีมันขึ้นไปค้นบ้านเจอะอะไรมันก็เอา ถ้าขอมมาน้อยก็แสดงว่า ขอมหายไปเลย เก็บเงียบ ถ้าของมามากในเขตไทย ก็ไม่มีใครทำอันตรายขอม

แต่พอเข้าเขตขอมลึกเข้าไปสัก ๒-๓ กิโลเมตร จะถูกธนูอาบยางน่องตาย (ยางน่องเป็นยางไม้ชนิดหนึ่ง ใช้ทาปลายธนู หน้าไม้ ถ้ายิงไปถูกแล้ว มีเลือดออกนิดเดียวก็ตาย) การริดรอนกำลังของขอมดำทำแบบนี้เป็นปกติ ถ้ามา ๙–๑๐ คน นั่นขอมหายไปเลยเป็นปุ๋ยต้นไม้ นี่การปราบเขาปราบกันแบบนี้ สำหรับคนไทยที่ไม่ดีที่ประจบสอพลอก็ต้องหายไปเลยเหมือนกัน นี่วิธีการแบบนี้ยังใช้ได้ตลอดกาลตลอดสมัยในเมื่อโลกยังตั้งอยู่ ถ้าเรารักความเป็นไทละก็ต้องทำแบบนี้


จะมาปล่อยให้พูดปาว ๆ แล้วก็ยอมกลัวเขาหงอ ไม่ทันจะตีเลยยอมแพ้แล้ว เรื่องการรบไม่จำเป็นว่ากำลังมากจะชนะกำลังน้อย ดูตัวอย่างสงครามอินโดจีน เรามีกำลังน้อย อาวุธน้อย เราก็ชนะอินโดจีนได้

นี่เป็นอันว่า เรื่องอุปาทานแห่งการแพ้น่ะ อย่าให้มีในใจลูก ถ้าเรากลัวเมื่อไรเราแพ้ แต่ถ้าเราไม่กลัวซะอย่างเดียว และใช้ปัญญา ความสามารถ ใช้ความไม่ประมาทคำว่าแพ้จะไม่มี ดูสมัยพระนเรศวรชนะพม่าซิ เรามีกำลังพลเท่าไร และพระเจ้าตากสินสามารถกู้ชาติไทยไว้ได้ มีกำลังพลแค่ ๕ พันคน พม่าเขามีกำลังพลเท่าไร ทำไมเราจึงกู้ชาติของเราได้ แล้วทำไมต้องไปกลัวญวน เวลานี้คนไทยที่รักชาติมี ๔๐ ล้านคนเศษ คนไทยขายชาติทำลายชาติมีไม่กี่คน วิธีปราบก็ต้องปราบแบบพระเจ้าพังคราชปราบขอมดำหรือปราบคนไทยทรยศตามที่กล่าวมา คือ ปล่อยเขาไปเมืองผีซะ เก็บเงียบ เก็บเล็กเก็บน้อยแบบนี้ ทำไมเขาทำกันไม่ได้น่ะ นี่พ่อไม่ได้หมายความว่า ยุให้เขาฆ่ากันนะ พูดถึงวิธีการเป็นนักรบ เป็นคนรักชาติ “ถ้าเรารักชาติ ทำไมต้องไปกลัวคนเลวมันจะตาย”

ตอนนี้ในเทป ใช้เพลงย่ำค่ำมอญ เป็นเพลงแสดงความรื่นเริงของคนไทย ที่ทำทองได้ มีความสุข เพราะพระอินทร์ ตอนนี้ลูกรักของพ่อขึ้นไปทูลถามปู่นะว่าความจริงเป็นอย่างไร

.......................................




เณรน้อยยอดกตัญญู

จาก หนังสือ เรื่องจริงอิงนิทาน (พิเศษ)


เรื่องของเณรน้อยอายุ ๗ ปี

มีสามเณรน้อยองค์หนึ่งอายุเพียง ๗ ปี บวชในพระพุทธศาสนา สมัยนั้นในเขตนั้นมีพระอรหันต์มาก เณรองค์นี้ได้ฌานสมาบัติสูง ตอนเช้าทุกเช้าต้องขึ้นไปนมัสการพระบรมสารีริกธาตุบนดอยตุง แล้วออกบิณฑบาตกับคนที่อยู่ใกล้ ๆ บนยอดเขา สามเณรได้ทราบข่าวว่า บนพระธาตุจอมกิตติ (เวลานั้นยังไม่มีเจดีย์ เขาเรียกว่า ดอยน้อย ๆ เท่านั้น) สำหรับสามเณรองค์นี้ มีนิมิตอะไรน้อยๆ ได้ตามสมควร ยังไม่เก่งกล้านัก สามเณรทราบข่าวว่าบนดอยน้อยนั้น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเคยมาประทับที่นั่น แล้วฝังพระเกศาไว้ด้วยการอธิษฐานจิต เณรได้ฟังจากครูบาอาจารย์มา

เมืองเชียงแสนเดิมลูกรัก เราออกจากพระธาตุดอยกิตติ คือ ออกมาจากเมืองเก่านะ แล้วมาถึงบริเวณที่เขาเขียนว่า เขตเชียงแสน หลังบริเวณนั้นมาอีกหน่อย เป็นที่เมืองจมน้ำสมัยหลังพระเจ้าพรหมมาก เมืองจมน้ำเพราะกินปลาตะเพียน จากบริเวณเมืองจมน้ำมาแล้ว เราจะเลี้ยวซ้ายมือนั่นแหละ เป็นเขตเมืองเชียงแสนเดิม แต่เมืองจมน้ำหมดเพราะกินปลาตะเพียน

สามเณรนึกจะมานมัสการพระเกศาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งเวลานั้นขอมดำครองเมืองเต็มไปหมด คนไทยไม่มี จะมีอยู่บ้างก็เป็นคนไทยที่ขอมนำมาเป็นคนรับใช้ เป็นทาสเขา บางพวกหรือผู้หญิง ผู้ชายไทย ที่ผู้ชาย ผู้หญิงขอมเขาอยากได้ไปเป็นเมียเป็นผัว เขาก็เอาไปไว้ การเป็นเมียทาส ผัวทาสต้องปฏิบัติตามเขา เป็นอันว่าคนไทยอยู่ในที่นั้นมีบ้าง แต่ไม่มีอำนาจ

สามเณรตั้งใจเดินธุดงค์ไปถึงดอยน้อยที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงอธิษฐานจิตวางพระเกศาไว้ ถึงตอนเย็นแล้วก็ค้างคืนบนดอยน้อย พร้อมกับนมัสการเจริญพระกรรมฐาน เวลากลางคืนเห็นรัศมีโชติช่วงพุ่งออกมาจากดอยน้อย เป็นรัศมี ๖ ประการ สวยสดงดงามมาก เณรก็เกิดธรรมปีติ มีความอิ่มใจ ชุ่มชื่นไปด้วยฌาน พอรุ่งเช้าสามเณรก็ออกบิณฑบาตตามปกติของพระในพระพุทธศาสนา บรรดาชาวขอมทั้งหลาย เห็นเณรองค์เล็กน่ารัก รูปร่างหน้าตาดี ผิวพรรณสดใส มีหน้าตาแช่มชื่นก็มีความรัก พากันใส่บาตร

พอดีเจ้าขอมดำนายใหญ่เป็นพ่อเมืองออกมาเห็นเข้าจึงได้ถามว่า
เจ้าเณรองค์นี้มาจากไหน (ความจริงเขาก็นับถือพระพุทธศาสนาเหมือนกัน แต่มันก็เพียงสักแต่ว่านับถือ อย่างคนไทยที่อยู่ในเขตพระพุทธศาสนาในปัจจุบัน อยู่ในเขตของพระพุทธศาสนา แต่ไม่เคยรู้เรื่องของพระศาสนาเลย อันนี้ก็มีมาก ที่เคารพพระพุทธศาสนาเวลานี้ ได้อภิญญาเล็ก คือ มโนมยิทธิ และก็ญาณแปด ที่เราแนะนำกันออกไปก็มีมาก แต่คนนำไปใช้ดีก็มีใช้เลวก็มี เป็นเรื่องธรรมดา ปล่อยเขา จะไปนั่งห่วงว่า กลัวเขาจะลงนรกน่ะ เห็นเป็นการไม่สมควร คนชั่วก็มี คนดีก็มาก คนชั่วหายาก คนดีถมไป ถ้าได้ฌาน อย่างลูกนี่ พ่อคิดว่า ร้อยละหนึ่ง ร้อยคนเอายอมเสียไป ๑ คน แต่ความจริงควรจะเป็นแสนละหนึ่ง แต่ความเลวของคนที่ติดในลาภสักการะไม่ช้า คุณธรรมนี้ก็สลายตัวก็พังไป)

เจ้าราชาขอมดำมันถามว่า “เณรมาจากไหน” พวกที่ใส่บาตรก็ตอบว่า “เณรเป็นลูกคนไทย” มันว่ายังไงรู้ไหม

"ไอ้ลูกไทยใจทาส ห้ามไม่ให้มันกิน"
"ใครใส่บาตรไปแล้วเท่าไร จับบาตรมันเททิ้งไปให้หมด อย่าให้มันกิน"
"ไอ้ไทยทาสนี่ จะไปคบหาสมาคมกับมัน"
"ต่อไปห้ามเข้าเขตของขอม"
"เมื่อมันอยากจะกิน ก็ให้มันกินของคนไทยด้วย อย่ามากินของขอม"
(ความจริงเขตนั้นเป็นเขตของไทย)


สามเณรน้อยได้ฟังคำพูดของพญาขอม ดังนั้น ก็รู้สึกสลดใจ สลดใจเพราะเธอได้ฌานสมาบัติ แต่เธอไม่ถึงกับเสียใจร้องไห้ จึงได้มาคิดในใจว่า
"โอหนอ คนไทยนี่เป็นเจ้าของประเทศ แต่ถูกขอมเนรเทศไป ขอมกลับคิดว่าคนไทยเป็นทาส"
คนไทยนี่มีความลำบากมากอย่างนี้
"เราในฐานะที่เป็นหนี้ความดีของคนไทยทั้งชาติ จึงได้ขอบารมีขององค์สมเด็จพระบรมโลกนารถ ได้โปรดสงเคราะห์ให้คนไทยได้มีความสุขตามกำลังที่เราจะทำได้" อันนี้เป็นความคิดของสามเณร
สามเณรคิดว่า ในเมื่อเขาไม่ให้ข้าวเราก็ไม่เป็นไร เณรไม่โกรธ เพราะทรงฌาน และอาจจะมีวิปัสสนาญาณด้วย โดยเฉพาะในตอนกลางคืนเห็นฉัพพรรณรังสี รัศมี ๖ ประการขององค์สมเด็จพระพิชิตมารพวยพุ่งมาจากพื้นดินก็ดีใจ

เณรจึงได้กลับเข้าไปบูชาพระรัตนตรัย ขออนุมัติองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่าจะหาถ้ำที่ใดสักที่หนึ่งเป็นที่อาศัย ก็เดินไปไม่ช้าก็เจอะถ้ำเล็ก ๆ ถ้ำหนึ่ง ก็นึกในใจว่า
"เราเป็นหนี้สินของคนไทย คนไทยก็คือปู่ย่า ตายาย ของเราเอง ฉะนั้นตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไป เราจะใช้ชีวิตของเราเป็นเครื่องสนองความดีของคนไทยทั้งชาติ จะไม่ยอมให้คนไทยอยู่ใต้อำนาจของขอมต่อไป เราไม่มีกำลังรบ เราไม่มีสรรพาวุธ อาวุธสำคัญของเรามีอย่างหนึ่งที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงให้ไว้ นั่นก็คือ เมตตาบารมี” ที่องค์สมเด็จพระชินสีห์ตรัสกับพระว่า "เธอเข้าไปในป่า เธอต้องมีอาวุธไปด้วย ในบทกรณีที่ขึ้นต้นด้วย เมตตัญญะสัพพะโร"

แต่ว่าสามเณรองค์นี้ ใช้วิธีแผ่เมตตาจิต คือ พรหมวิหารสี่ ว่า"ขอบารมีขององค์สมเด็จพระชินสีห์ บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ พรหม และเทวดาทั้งหมด และท่านผู้มีพระคุณทั้งหลาย ขอได้โปรดช่วยให้คนไทยพ้นจากความเป็นทาส" ให้พ้นจากการตกอยู่ใต้อำนาจของขอม”

แล้วสามเณรก็เข้าฌานสมาบัติ ตั้งจิตอธิษฐานว่า
ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป "เราจะไม่ถอนจากฌานสมาบัติจนกว่าชีวิตินทรีย์จะหาไม่" เราจะอาศัยฌานเป็นธรรมปีติ เมื่อชีวิตทรงได้ก็ทรงไป ทรงไม่ได้ก็แล้วไป"แต่ถ้าบังเอิญเราจะพึงตาย เพราะอาศัยฌานสมาบัติ ก็ขอบารมีขององค์สมเด็จพระพิชิตมาร ได้โปรดให้ข้าพระพุทธเจ้าได้มีโอกาสเกิดเป็นคนไทย และได้ช่วยคนไทยทุกแง่ทุกมุม ไม่ใช่เฉพาะการรบ การเศรษฐกิจ การปกครอง แม้แต่การรบ ทุกอย่างให้ครบถ้วน ให้คนไทยพ้นจากความเป็นทาส"

เวลานั้นเณรไม่ได้คิดพิฆาตเข่นฆ่าใคร ที่ตำนานเขาบอกว่า เณรเอาบาตรเทินหัวขอเกิดเป็นคนไทย ขอกลับมาฆ่าขอมน่ะไม่จริง ทำอย่างนั้นก็ลงนรก จิตตั้งบาป นี่เณรตั้งใจแบบนี้ อาศัยสามเณรที่มีความเคารพในองค์สมเด็จพระชินสีห์ และเป็นเด็กมีบุญญาธิการมาก มีท่านบอกว่าสามเณรองค์นี้ ก็คือ พระเจ้ามังราย ลูกชายพระเจ้าอชุตราช รวมความว่าเป็นรัชกาลที่ ๒ ของราชวงศ์นี้นั่นเอง พระเจ้าพังคราชเป็นรัชกาลที่ ๓๗ สามเณรองค์นี้เดิมเป็นพระเจ้ามังราย รัชกาลที่ ๒ ดูซิลูกรัก สมัยหนึ่งเคยเป็นลูกกษัตริย์ มีอำนาจมาก ขยายอาณาเขตไปสี่เท่าจากที่พระราชบิดาปกครองเดิม มาชาตินี้กลายเป็นลูกชาวบ้านธรรมดา แล้วก็มาบวชเณร ถูกขอมย่ำยี แม้แต้ข้าวที่อยู่ในบาตรเขาก็เททิ้ง

ลูกรักฟังไปแล้ว อย่าฟังเป็นนิทานนะลูกนะ ฟังไปแล้วก็ต้องคิดว่า

ชีวิตเป็นของไม่แน่นอน ความเกิด ความตายเป็นของธรรมดา เมื่อเกิดขั้นมาแล้วก็เป็นของยุ่งยาก ในที่สุดมันก็ต้องตาย ถ้ากิเลสเรายังไม่หมดเพียงใด ก็ต้องกลับมาเกิดใหม่ มาใช้ชีวิตที่ไม่มีความสุข

....................................................

ญาณ ๘

จาก หนังสือ เรื่องจริงอิงนิทาน (พิเศษ)


ฉะนั้น ขอบรรดาลูกรักของพ่อทุกคนที่กำลังนั่งฟังอยู่นี่ พ่อสอนวิชาความรู้แก่ลูกโดยธรรม พ่อพยายามฝึกอภิญญาเล็กให้แก่ลูก อภิญญาเล็กที่ลูกได้ย่อมได้ญาณ ๘ อย่างด้วย คือ

๑. ทิพจักขุญาณ สามารถเห็นผี เห็นเทวดา เห็นสวรรค์ นรก เห็นพรหม เห็นนิพพานได้
๒. จุตูปปาญาณ คนและสัตว์ที่ตายไปแล้วไปอยู่ที่ไหน คนและสัตว์ที่เราเห็นเขาอยู่ที่นี่ เขามาจากไหน
๓. ปุพเพนิวาสานุสติญาณ สามารถระลึกชาติได้ไม่จำกัด
๔. เจโตปริยญาณ สามารถรู้วาระน้ำจิตคนว่า ใครคิดดี คิดชั่ว ใครจิตสะอาด ใครจิตสกปรก มีกิเลสมาก มีกิเลสน้อย อันนี้รู้ได้
๕. อตีตังสญาณ รู้เรื่องราวในอดีต ถอยหลังเรื่องราวที่แล้ว ๆ มาได้ไม่จำกัด
๖. ปัจจุบันนังสญาณ ปัจจุบันนี้ใครไปก่อหวอดที่ไหน ใครทำอะไรบ้างก็รู้
๗. อนาคตตังสญาณ รู้เรื่องราวข้างหน้าว่า จะมีอะไรเกิดขึ้น ใครจะไปทำอะไรที่ไหน ใครคิดประทุษร้ายใครที่ไหน ชุมนุมกันที่ไหน ใครทำดี ใครทำชั่ว หรือสถานที่นี้จะเป็นยังไง บ้านเมืองเราจะมีน้ำมันมาก จะมีแร่ธาตุมาก จะจนจะรวย เรารู้ได้ลูก
๘. ยถากรรมมุตาญาณ ผลของกรรมของคนในประเทศนอกประเทศจะเป็นยังไง ผลของกรรมของข้าศึกที่คิดประทุษร้ายไทยจะเป็นยังไง และใครที่มีความสุข ความทุกข์ เพราะอะไร เรารู้ได้ลูก

ญาณทั้ง ๘ ประการที่พ่อพูดมานี้ ลูกได้หมดแล้ว แต่ทว่าลูกรักของพ่อ
"ลูกอย่าใช้กำลังของตนเองนะ ลูกยังไม่ได้เป็นพระอรหันต์" ทางที่ดีอยากจะรู้
"ถามท่านปู่ ถามท่านย่า ถามท่านแม่"
"หรือว่าถามตรง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าเกี่ยวโดยธรรม" ท่านตรัส ถึงแม้ว่าเรื่องของประเทศชาติ ความเป็นไปของคนไทย ภายหน้าจะเป็นอย่างไรถามท่านได้ พระพุทธเจ้าไม่ว่า ทั้งนี้ เพราะเรื่องนี้เป็น ธรรมะ ไม่ใช่เรื่อง โลภโมโทสัน

ไอ้เรื่องดูทรัพย์สินที่นั่นที่นี่ ลูกอย่าดูนะลูกนะ อุปาทานมันจะกิน
ยามปกติ เอาจิตจับพระนิพพานเป็นอารมณ์ นึกถึงพระพุทธเจ้าไว้ ตั้งใจตัดกิเลสให้เป็นสมุจเฉทปหาน
เครื่องมือที่ลูกจะมีไว้นั่นคือ บารมี ๑๐ ทำให้ครบถ้วน

สังโยชน์ ๑๐ ตัดให้ขาดให้หมด
มีจรณะ ๑๕ มีอิทธิบาท ๔ มีพรหมวิหาร ๔ มีศีลปกติ มีทานปกติ ทั้งหมดนี้ต้องมีเป็นประจำ ใจจับพระนิพพานเป็นอารมณ์
"อย่าไปยุ่งกับเรื่องอื่น ถ้ามีความจำเป็นจึงค่อยรู้เรื่องอื่น"
"ถ้าจิตเราจับพระนิพพานได้แล้ว ลูกแก้วของพ่อไม่ต้องวิตกกังวล ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นของเราหมด"

มาต่อเรื่องของสามเณร เมื่อเข้าสมาธิเจริญฌานสมาบัติ จิตใจไม่มีความโกรธในขอม จิตใจไม่มีจิตริษยา ไม่เอียงซ้าย ไม่เอียงขวา จิตเป็นอุเบกขารมณ์ มีอารมณ์เป็นหนึ่ง ทำไปสักครู่หนึ่ง ๒-๓ นาที จิตก็ดิ่งจับฌาน ๔ ปกติ เวลาล่วงไปสัก ๕-๖ ชั่วโมง จิตถอยออกจากฌาน ๔ มาตั้งอยู่ในอุปจารสมาธิ มองเห็นภาพองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประทับยืนอยู่ข้างหน้า ทรงแย้มพระโอษฐ์ แล้วตรัสว่า

“มหาเถระ เธอปฏิบัติถูกแล้ว เธอมีจิตเมตตา ปราศจากความอาฆาตมาดร้าย เธอทำใจดี การแผ่เมตตานี้จะทำให้เธอเกิดเป็นพรหม ฉะนั้นเธอจงตั้งจิตอธิษฐานต่อไป เวลานี้มีความสำคัญ” เมื่อจิตออกจากฌาน ๔ มาตั้งอยู่ในอุปจารสมาธิ เธอจงตั้งสัตยาธิฐานใหม่อีกครั้งหนึ่ง อันนี้จะมีผลแล้ว ภาพขององค์สมเด็จพระทศพลบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าก็หายไป

ตอนนั้นสามเณรน้อยดีใจนัก เกิดธรรมปีติที่เห็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสวยสดงดงาม พร้อมไปด้วยฉัพพรรณรังสี รัศมี ๖ ประการ ความมั่นใจในคำสอนขององค์สมเด็จพระพิชิตมารบรมศาสดาก็มากขึ้น จึงตั้งอธิษฐานว่า

"ด้วยอำนาจบุญบารมี ความดีที่ข้าพเจ้าทำมาแล้วในอดีตชาติจนถึงปัจจุบันก็ดี และขออำนาจบารมีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ และพระอริยสงฆ์ก้ดี ขอทุกท่านจงโปรดให้คนไทยทั้งหมดมีความสุข มีความอุดมสมบูรณ์พ้นจากภัยอันตรายที่จะพึงมีจากขอม"

"ถ้าหากว่า ข้าพระพุทธเจ้าจำจะต้องกลับมาเกิดอีกครั้งหนึ่ง ขอเกิดเป็นคนไทย ขอให้ได้ช่วยคนไทยทุกคนมีความสุข ตามกำลังกฎของกรรม" แต่ว่าจะให้สุขทุกอย่างน่ะเป็นไปไม่ได้ กรรมชั่วมันมีอยู่ ขอ

๑.ให้คนไทยพ้นจากความเป็นทาส
๒. คนไทยมีอำนาจในการปกครองตนเอง
๓. ขอให้ข้าพระพุทธเจ้ามีปัญญา ทั้งการเกษตร การคลัง การปกครอง ทุกอย่างแม้แต่การรบ ขอให้ช่วยให้คนไทยทุกคนมีความสุข มีอิสรภาพ ปราศจากความเป็นทาสของบุคคลผู้ใด ไม่เลือกชาติ ไม่เลือกวรรณะ ไม่เลือกตระกูล ขอให้คนไทยมีความเพิ่มพูนความสุขสดชื่นมีความหรรษา และขอองค์สมเด็จพระชินสีห์ได้ทรงโปรดช่วยตักเตือนข้าพระพุทธเจ้า ถ้ากิจนั้นจะพึงพลาดไป

เมื่อเณรน้อยอธิษฐานต่อองค์สมเด็จพระชินสีห์แล้ว ก็เริ่มเข้าฌานใหม่ ปรากฏว่า วันเวลาผ่านไป ๗ วัน ร่างกายขาดอาหาร และเณรไม่ได้อธิษฐานให้ชีวิตทรงอยู่ด้วยอำนาจของธรรมปีติ ก็คิดว่า “จะนั่งกรรมฐานเข้าฌานจนตาย” ในที่สุด ๗ วัน เณรก็ตายด้วยกำลังของฌาน ๔ ฉะนั้น สามเณรองค์นี้จึงขึ้นไปเกิดเป็นพรหมชั้นที่ ๑๑

..................................................




พรหมกุมารลงมาเกิด


จาก หนังสือ เรื่องจริงอิงนิทาน (พิเศษ)


พอไปเกิดเป็นพรหมได้ชั่วครู่เดียว ก็มีพรหมชั้นผู้ใหญ่ทรงความเป็นพระอนาคามีมีนามว่า “ผกาพรหม” เข้ามาหาแล้วเรียกชื่อว่า “สัพเกศีพรหม” เป็นพรหมมีนามว่าสัพเกศี ตอนนี้ใครจะหาว่า มหาวีระอวดฤทธิ์อวดเดชก็เชิญนะ เชิญตามสบาย ตอนนี้เปิดกรุละ

ท่านท้าวผกาพรหมบอกว่า ก่อนที่ท่านจะมาเป็นพรหม ท่านตั้งใจว่าจะให้คนไทยมีความสุข ท่านเป็นไทย เวลานี้ท่านจะมาเสวยความสุขอยู่เฉพาะผู้เดียว โดยไม่เหลียวแลคนไทยที่อยู่ข้างหลังนั้นไม่เป็นการสมควร เวลานี้ถ้าจะนับเวลาตั้งแต่ท่านออกจากกายสามเณรมาเป็นพรหมก็จะเป็นเวลาล่วงไปปีเศษ พระเจ้าพังคราชมีราชโอรสองค์แรกไปแล้วชื่อ ทุกภิกขะกุมาร เกิดในท่ามกลางความทุกข์มาได้ ๓ ปี แล้ว พระราชมารดาก็มีความสุข สมควรที่ท่านจะลงไปเกิดเป็นลูกชายพระเจ้าพังคราช แล้วช่วยกู้ชาติไทยให้ปลอดภัยจากความเป็นทาส


หลังจากนั้น ท่านผกาพรหมก็ประกาศถามว่า พรหมองค์ใดบ้างที่นับถือพระพุทธศาสนา เคยเกิดเป็นคนไทยมาก่อน จะลงไปช่วยคนไทยที่มีความเร่าร้อนให้มีความสุข ก็มีพรหมอีก ๒๕๐ องค์ บอกว่าจะไปเกิดพร้อม ๆ กันเป็นสหชาติ จะเคลื่อนคลาดจากการคลอดบ้างก็ก่อนหลังกัน ๓ วัน

เป็นอันว่า สัพเกศีพรหมไปเสวยสุขวิหารบนพรหมชั้นที่ ๑๑ เพียงครู่เดียว เวลาในเมืองมนุษย์ก็ผ่านไป ๑ ปีเศษ เมื่อท่านผกาพรหมมาเตือนแบบนั้น และมีพรหมอีก ๒๕๐ ท่าน รับจะลงมาช่วยกัน และมีพรหมอีก ๓ ท่าน บอกว่าจะมาช่วยเกิดเป็นช้างคู่บารมี

เมื่อตกลงกันแล้ว ต่างคนต่างอธิษฐาน “ขอจุติละจากอัตภาพการเป็นพรหมลงมาเกิดเป็นลูกคนไทย”ในวันนั้นพระราชมารดา คือ พระมเหสีของพระเจ้าพังคราช ประทับนอนตอนใกล้รุ่งทรงนิมิต (ฝัน) ไปว่า มีช้างเผือกเนื้อใสเป็นแก้วมีกำลังมาก เข้ามาในเขตพระราชฐาน นอกจากนั้นก็มีช้างเผือกขนาดย่อมกว่าหน่อยอีกประมาณ ๒๕๐ เชือก เข้าบ้านโน้นบ้านนี้บ้างถือวิสาสะขึ้นไปบนบ้านเขา

แต่ช้างเผือกที่เป็นผู้นำมาใหญ่ และใสสะอาดมาก เป็นแก้วใสรัศมีกายสว่างเป็นพิเศษ มานั่งบนตักของพระองค์ ช้างตัวใหญ่แต่ก็รู้สึกเบา พระองค์ก็ทรงประคับประคองช้างเชือกนั้นไว้ พระองค์มีความรักคล้ายกับลูก แล้วก็ตื่นเช้ามืดใกล้เวลาหุงอาหารพอดี จึงกราบทูลพระราชสวามีให้ทรงทราบว่าวันนี้ฝันประหลาด เวลาเช้าพระเจ้าพังคราชก็เรียกพระยาโหาราธิบดีเข้ามาเฝ้า เล่าความฝันของภรรยาว่าฝันแบบนี้จะเป็นยังไง พระยาโหราธิบดีก็ลงเลขฉบับ ๆๆ แล้วทำนายว่า เด็กคนนี้มาจากพรหม ต่อไปจะมีอำนาจมาก จะนำไทยทั้งชาติให้เป็นสุข จะมีปัญญาดี จะมีความสามารถ และมีสหชาติ ๒๕๐ คน คือ ช้างแก้วที่เข้าไปเกิดตามบ้าน ขอพระจอมภูบาลได้โปรดให้การอารักขาเด็กในครรภ์ชองพระเมหสี ให้การอภิบาลเด็ก ๆ ในครรภ์ให้มีความสุข ทั้งนี้ เพราะจะเป็นกำลังใหญ่ของชาติ จะหมดจากความเป็นทาสของขอมต่อไป

....................................................


วิชาโหร

จาก หนังสือ เรื่องจริงอิงนิทาน (พิเศษ)


ลูกคงจะสงสัยว่าพระยาโหราธิบดีของพระเจ้าพังคราชรู้ได้ยังไงว่าเด็กที่มาเกิดในครรภ์มเหสีมาจากพรหม เลขตัวไหวมันบอกได้

เรื่องวิชาหมอดูนี่มีจริง และที่เก่งจริงมีอยู่ ในสมัยพ่อยังหนุ่มอยู่พ่อชอบเล่นวิชาหมอดู ซึ่งเขาเก็บสถิติมาตั้งแต่ดึกดำบรรพ์ พ่อเล่นตั้งแต่วิชาเลข ๗ ตัว วิชาผีกระด้ง ผีถ้วยแก้ว ผีเบี้ย ผีตะไกร และเล่นยาม ๓ ตา วิชาดูลายมือ เลข ๗ ตัว นี่ดู ๓ ชั้น ๕ ชั้น ๗ ชั้น และ ๙ ชั้น และก็เล่นวิชากราฟ เวลาพ่อจะดู พ่อจะเอาทุก ๆ วิชาเข้ามาประสานกัน พยากรณ์ด้วยวิธีนี้แล้วก็ดูด้วยวิธีนั้นมันจะตรงกันไหม ถ้ามันตรงกันทุกวิชา การพยากรณ์ไม่ผิดว่าใครจะมาจากเทวดา ใครมาจากพรหม อันนี้ไม่ผิดลูกรัก

แต่ว่าพระยาโหราธิบดีของพระเจ้าพังคราชนี้ท่านเก่งจริง ๆ ความรู้ของโหนห้อยแขวนสมัยนี้ที่ว่าเก่งจริง ๆ ยังไม่เท่า ๑ ใน ๑๐ ของโหรสมัยนั้น เพราะโหรสมัยนั้นดูทั้งเลข ดูทั้งใจ อย่าลืมว่าสมัยนั้นมีพระอรหันต์มาก คนเขาเป็นนักบุญ จึงได้มีความดี ความเยือกเย็น เป็นสุขกันมาก ในเมื่อจิตใจเขาเป็นนักบุญลูกรัก อะไรล่ะที่จะว่าไม่ดีน่ะมันไม่มี

ทานมัย บุญสำเร็จด้วยการบริจาคทานเขาทำ ศีลมัย บุญสำเร็จด้วยการรักษาศีลเขาทำ ภาวนามัย บุญสำเร็จด้วยการภาวนาเขาทำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งโหร จะต้องสนใจวิชาการต่าง ๆ ที่จะพึงทำได้ ถ้าจะให้พ่อเดานะ พ่อไม่เดาดีกว่า เพราะเวลานี้ พ่อได้อะไรน่ะไม่สำคัญ แต่ลูกของพ่อทุกคนได้วิชชามโนมยิทธิซึ่งคลุมวิชชา ๘ ด้วย อย่าลืมนะว่าวิชชา ๘ อย่างนี่ สามารถเห็นผี เห็นเทวดา เห็นนรก เห็นสวรรค์ได้ รู้ว่าคนและสัตว์ที่มาเกิดที่นี่เดิมทีเดียวมาจากไหน ตายแล้วไปอยู่ที่ไหน สามารถระลึกชาติได้ สามารถรู้ความรู้สึกของจิตคนได้ สามารถรู้เรื่องราวในอดีต อนาคต ปัจจุบันได้ สามารถรู้กฎของกรรมได้ ความดี ความชั่วที่จะมีขึ้นมาได้นี่มีอะไรเป็นเหตุก็สามารถรู้ได้ หรือว่าใครที่มานั่งอยู่นี่จะคิดคดทรยศยังไงก็รู้ได้ เรื่องราวที่ผ่านมาแล้วกี่แสนอสงไขยกัปก็สามารถรู้ได้

เวลานี้พ่อพูดกับลูกซึ่งมีความรู้คล้ายคลึงพ่อ และสามารถจะจับผิดพ่อได้ด้วย ถ้าพ่อพูดผิด อย่าลืมว่า เวลาที่พ่อพูดพ่อไม่ได้ใช้ตำรา ไม่ได้ใช้ความรู้ของพ่อ พ่ออาศัยรับเสียงเสียงหนึ่งซึ่งบอกมาตามลำดับ นี่พ่อจึงพูดโดยไม่ต้องมีหนังสือ เวลานี้พ่อพูดตามคำบอกหรือพูดตามพากย์ เหมือนกับละครวิทยุมีคนบอกบท แต่ลีลาการแสดงตั้งใช้สมองของผู้แสดงเอง เพียงแต่คำพูด ต้องพูดตามคำบอกบทเท่านั้น ถ้าไม่ฉลาดก็พูดส่งเดชไปไม่มีความหมาย เป็นอันว่าเรื่องที่เราพูดอยู่นี่พ่อพูดตามพากย์ และพ่อเห็นตัวนะ พ่อก็เลยกลายเป็นคนดูหนัง รับพากย์มาจากข้างหลัง พ่อก็พายก์หนังต่อไป

เป็นอันว่าพระยาโหราธิบดีของพระเจ้าพังคราช นอกจากจะเป็นโหรเลยแล้วยังเป็นโหรตาทิพย์อีกด้วยช่วยให้เกิดประโยชน์มาก เมื่อพระเจ้าพังคราชได้รับคำพยากรณ์จากโหรแล้วก็ดีใจ คนไทยซึ่งมีความทุกข์ทรมาน แล้วอาศัยเด็กปลอม คือ พระอินทร์มาบอกวิธีทำทองคำให้ก็มีความเป็นอยู่ดีขึ้น ใครอยากทำทองคำบ้างล่ะ เวลานี้ไปหาแร่เพรียงไฟกับสารปากนกแก้วที่แถวหลังสุโขทัยออกไปแถวบ้านนาสารนั่นแหละ จุดนั้นถ้าเราไปนั่งอยู่ที่น้ำตกที่มีเกาะน้อย ๆ แยกไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือห่างออกไปจากจุดนั้น ๒ กิโลเมตรเศษ จะมีแร่เพรียงไฟ และไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้จะมีสารปากนกแก้ว

ถ้าได้ ๒ อย่างนี้มาแล้ว การทำทองคำเป็นเรื่องธรรมดา ๆ นี่บอกไว้ให้แต่อย่าให้ไปชี้นะ ชี้ไม่ได้ เพราะให้สัญญากับเขาไว้แล้วว่า “ขึ้นชื่อว่าทรัพย์ใต้ดิน ไม่ต้องการอยากได้ หนึ่ง และสองจะไม่เอาเล็กจิกพื้นที่นั้น สาม จะไม่บอกให้ใคร แต่ที่บอกไว้อย่างนี้เพราะแร่เพรียงไฟกับสารปากนกแก้วของเรามีเยอะ ถ้าเราไม่นั่งโง่กันเสียอย่างเดียว เราก็มีทองคำอุดมสมบูรณ์นี่เป็นประการแรก ประการที่ ๒ เรายังมีแหล่งทองคำที่ยังพอหาได้ใช้แรงงาน นี่นักธรณีวิทยาหรือนักหาของใต้ดินควรจะศึกษาและหาของอย่างนี้ คนไทยจะได้มีอาชีพ คือ อาชีพการร่อนทองคำ อย่างจังหวัดเพชรบูรณ์นี่ยังมีอยู่ จังหวัดกาญจนบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ลพบุรี นี่มีเยอะแยะทั่วประเทศไทย เป็นแหลมทองจริง ๆ ให้ร่อนด้วยแรงคนได้พอ ถ้าใช้โรงงานนี่ไม่ควร ทำไมจึงว่าไม่ควร เพราะลงทุนมากเกิน คนอาจจะต้องล่มจม ถ้าเราใช้แรงคนวันหนึ่งได้ ๑ สลึง อีก ๒ วัน ไม่ได้ก็พอกินแล้ว บางวันอาจจะได้บาท ๒ บาท ก็ได้

เวลานี้ทองคำบาทละเท่าไร ทำไมไม่คิดกันล่ะเรื่องนี้ ปล่อยให้ของดีสูญไปเปล่า ๆ แต่ระวังนะจะเสียท่านายทุน รัฐบาลอาจจะดีแต่ผู้รับสนองบางคนอาจจะไม่ดีเหมือนกัน ลืมตัวลืมตนประเภทนี้อย่าลืมนะ ตาย ถ้าบังเอิญคนไทยสมัยโน้นมาเกิดสมัยนี้ละก็ตาย เก็บเงียบเหมือนเก็บขอมนั่นแหละ เวลานี้อาการเก็บเงียบแบบนี้มันจะเกิดมีในประเทศแล้ว สำหรับคนขายชาติจะถูกเก็บเงียบ ลัทธินี้จะมีแล้วในอนาคตอันใกล้ที่พูดนี่เป็นเดือนธันวาคม ๒๕๒๑ ไม่ใช่ผู้พูดต้องการให้มีนะ เหตุการณ์มันบังคับให้มีขึ้น วิธีเก็บนี่ถ้าพูดตามเสียงเขาว่า จะเก็บทั้งเล็กทั้งใหญ่เก็บให้หมด เพราะคนทรยศก็คือขอมดำมาเกิด จะเก็บมันไว้ทำไม ลูกรักของพ่อใช้ญาณตามไปด้วยนะ ทางที่ดีทูลถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วนั่งอยู่ตรงนั้นแหละเวลาพ่อพูดไปละก็ดูภาพ

ต่อมาอีก ๗ เดือน แม่ตั้งท้องได้ ๗ เดือน ชาวบ้านก็มีท้อง ๗ เดือน เหมือนกัน พระเจ้าพังคราชก็ให้การอารักขาท้องทั้งหมดเป็นอันดี เลยรวมท้องทั้งหมดจะเท่าไรก็ตามอารักขาหมด ไม่อย่างนั้นเขาหาว่าอคติ อารักขาเด็กในครรภ์ทั้งหมดถือว่าเป็นสหชาติ ๒๕๐ นั่นส่วนหนึ่ง เลยไปว่านี้ก็ให้ด้วย และถือเป็นประเพณีว่า คนที่เกิดในสมัยนั้นถือว่าเป็นลูกของพระมหากษัตริย์ แล้วพระองค์ก็ประชุมมุขอำมาตย์ทั้งหลายว่า เราจะออกกฎแบบนี้ดีไหม มุขอำมาตย์บอก ฮ้อ ดีแน่ พระองค์ก็ตกลง ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปใครจะต้องท้องที่ไหนก็ตาม ถ้าเป็นลูกคนไทยแล้ว ถือว่าเป็นลูกพระมหากษัตริย์ทั้งหมด การบำรุงรักษาพระองค์จัดสิ่งของไปสงเคราะห์ พอ ๗ เดือน ผ่านไปลูกในท้องเริ่มแล้ว พระมเหสีนอนตื่นเช้าไม่ลุกจากที่นอนซะแล้ว ร้องไห้ เศร้าโศก เสียใจไม่รู้เรื่องอะไร พระเจ้าพังคราชพระราชบิดาก็ถามว่า เธอต้องการอะไรจ๊ะ บอกพี่ ถ้าทุกสิ่งทุกอย่างไม่เกินวิสัยพี่จะหาได้เธอก็บอกว่าอยากทรงเครื่องกษัตริย์ เอาแล้วซิ พระเจ้าพังคราชก็บอกว่าสิ่งที่เธอต้องการน่ะมี เพราะก่อนขอมเข้ามา พี่ได้สั่งให้เก็บของทั้งหมดนี้ไปซุกซ่อนไว้ ตอนเช้าพระองค์จึงได้ให้คนไปเอาเครื่องกษัตริย์มาให้ท่านแม่แต่ง ท่านแม่สดชื่นไปหลายวัน

สักพักเอาอีกแล้ว ร้องไห้อีก บอกว่าอยากมีอาวุธ นี่ แต่โหรทำนายไว้แล้ว กำลังใจของคนไทยจึงมุ่งอยู่ที่เด็กในครรภ์ พอบอกอยากมีอาวุธ คนก็ฮือฮา ๆ กันดีอกดีใจคราวนี้ไทยจะเป็นไทเสียที จะได้ฆ่าขอมให้สมกับความเจ็บแค้น ทำให้คนขยันมากขึ้นเดิมเขาก็ขยันกันอยู่แล้ว ก็เพิ่มความขยันมากขึ้นเพราะมีกำลังใจ ตอนนี้อยากทำอาวุธของ้าวหอกซัด เครื่องอาวุธต่าง ๆ พระเจ้าพังคราชก็บอกคนมาช่วย (ไม่ได้เกณฑ์ บอกกันเขาก็มา) ทำอาวุธกันคึกคักกันใหญ่ โหรก็ทำนายว่าลูกชายคนนี้จะมีอำนาจมาก จะขยายเขตประเทศออกไปอีกหลายเท่าทุกทิศ พอข่าวอนี้ออกมาเท่านั้นแหละคนวางงานในมือวิ่งมากราบเด็กในท้อง เอ๋อ ต่างคนก็ฮึดฮัดๆ เก่งขึ้นมาทันที แม้แต่คนแก่ก็ยังลุกขึ้นเอากะเขาด้วย ว่านี่คนไทยนะเว้ย ไอ้ขอมดำหัวจะขาดหมด เจอหน้าขอมจะฆ่าให้เรียบ พระราชาท่านบอก ยังก่อน ๆ ลูกยังไม่เกิด ตอนนี้ก็ไปหาแร่เหล็กอย่างดีมาทำอาวุธกันใหญ่ แต่ไปทำในถ้ำที่เวลานี้กองพล ๙๓ ของจีนอยู่น่ะ นั่นแหละที่ทำอาวุธละ และที่หลังสุโขทัยไปทางบ้านนาสารบริเวณนั้นเป็นที่ฝึกอาวุธ ตอนนี้ท่านแม่ดีใจมาก

ต่อมาไม่นานท่านแม่ก็ซูบซีดไปอีกแล้ว ท่านบอก อยากกินเลือดขอมติดอาวุธ เอาแล้วซิ พระเจ้าพังคราชเรียกพระโหราธิบดีเข้ามาทำนาย โหรบอกเด็กคนนี้เกิดมาแล้วเมื่อไร ขอมตายเรียบ ก็ไม่ยากเรื่องท่านแม่อยากกินเลือดขอมติดอาวุธ เจ้าขอมดำดินเกะกะเจ้าชู้มีมาก ขอมชอบเจ้าชู้ บางคนก็เกี้ยวดี บางคนก็ใช้อำนาจบอกไปกับฉันเดี๋ยวนี้ ฉันต้องการเอาไปเป็นเมีย ถ้าไม่ไปตายหมด พ่อแม่พี่น้องในบ้านนี้ตายหมด แหมอำนาจเขาแน่ ดังนั้น ไอ้พวกเจ้าชู้มา ๑๐ ตาย ๑๐ มา ๒๐ ตาย ๒๐ เอาเลือดขอมมาละลายน้ำให้แม่กิน กินแล้วท่านสวยเปล่งปลั่งผ่องใส ดูแล้วคล้าย ๆ จะมีแสงสว่างออกน้อย ๆ พระเจ้าพังคราชเองก็แปลกใจว่า เมียเราตอนมีลูกชายคนแรกไม่สวยแบบนี้เลย นี่สวยมาก สดชื่น อิ่มเอมเปรมใจโอบอ้อมอารีจิตใจดี

ต่อมาท่านแม่ก็อยากทรงช้าง ทรงม้า พระเจ้าพังคราชก็ทำหน้าที่นั่งบนหลังช้างอย่างดีให้มเหสีนั่งออกเยี่ยมเยียนราษฎร ไปที่ไหนคนเขาเห็นเขาก็นึกถึงเด็กในครรภ์ก็เข้ามาหมอบกราบ พวกท้องสหชาติ ๒๕๐ ก็ไปด้วย และท้องที่เกิน ๒๕๐ ก็ตามไปด้วย เป็นกองทัพคนท้องไปเยี่ยมราษฎร

พอถึงกำหนดทศมาส คือ ๑๐ เดือน เกิดคลอด การคลอดแปลก ก่อนหน้าคลอด ๑ วัน ท่านแม่มีความรู้สึกว่า อยากทำบุญ และต้องการเครื่องบายศรี และเครื่องของผู้หญิงอีกเยอะแยะ และต้องมีกระพังช้าง กูบช้าง เครื่องแต่งช้างทั้งหมด พระเจ้าพังคราชจึงจัดให้ทำกระพังทองคำไว้ ทำร่างแหทองคำสำหรับคลุมหน้าช้าง ทำกูบทองคำ ทุกอย่างเป็นทองคำหมด เพราะเรามีทองคำมาก ชาวบ้านดีใจกันมากเมื่อรู้ว่าเด็กจะคลอด เหมือนกับชาวนาคอยฝน คนคอยน้ำ ช่วยกันทำทุกอย่างเรียบร้อยสวยสดงดงาม

พอถึงเวลาคลอด วันนั้นเวลาเช้า ท่านแม่ตื่นขึ้นล้างหน้าล้างตาแล้วมีความรู้สึกอยากจะบูชาพระ เห็นพระชื่นใจเข้าไปนั่งเจริญพระกรรมฐานจิตเป็นสุข พอถึงเวลา ๖ นาฬิกาเศษ ๆ มีความรู้สึกว่า อยากคลอดพระราชโอรส จึงกราบทูลให้พระราชสวามีทรงทราบว่ารู้สึกจะคลอด แต่ท้องยังไม่ปวด พระเจ้าพังคราชจึงสั่งคนไปตามหมอตำแย ปรากฏว่าหมอตำแยยังไม่ทันมา ท่านแม่เข้าไปบูชาพระอยู่ การคลอดก็เกิดขึ้นในห้องพระนั่นเอง คลอดแบบประเภทท่านแม่ไม่มีความเจ็บปวดใด ๆ ทั้งสิ้น พระราชโอรสมีผิวพรรณตามหนังสือเขาบอกว่า สดใสงดงามหาที่ติไม่ได้ ตามคติของชาวโลก แต่ชาวธรรมนี้ติได้แน่นอนเพราะขันธ์ ๕ มันเป็นของสกปรก

ในระยะเวลาไล่เลี่ยกันนั่นเอง สหชาติ ๒๕๐ คนก็คลอดออกมา แต่ละคนก็มีผิวพรรณสวยสดงดงามคล้ายคลึงกันหมด

คราวนี้เองประชาชนทราบว่า พระราชโอรสคลอดแล้ว การคลอดน่าอัศจรรย์และทุกบ้านที่มีท้องใกล้ ๆ กันก็มีจริยาการคลอดเหมือน ๆ กัน เพราะมาจากพรหมเหมือนกัน ของขวัญต่าง ๆ เกิดขึ้น สำหรับลูกชายของพระเจ้าพังคราชได้ทองคำตั้งพันชั่ง เด็กสหชาติได้ทองคำคนละ ๑๐๐ ชั่ง ๒๐๐ ชั่ง ถ้าจะถามว่าเอามาจากไหนกันล่ะทองคำ ก็บอกแล้วว่าร่อนก็ได้ ขุดก็ได้ เวลานี้ในประเทศไทยก็มีอยู่ ทำไมมานอนหลับคุดคู้ทับทองคำกันอยู่ อะไร ๆ ก็ต้องตั้งโรงงาน ต้องต่างประเทศ เอาเงินไปให้ต่างประเทศเขาทำไม ให้คนไทยนี่แหละ ใช้มือขุด ใช้มือร่อน ทองน่ะมีมาก ยิ่งขุดลึกลงไปก็ยิ่งมีมาก สมมติว่า ๓ วันได้ ๑ สลึง แค่นี้คนไทยที่ยากจนก็มีความอุดมสมบูรณ์แล้ว ขออย่างเดียวให้ความอารักขาคนขุด คนร่อน จากเจ้าหน้าที่ตำรวจ เจ้าหน้าที่ปกครอง อย่าถืออภิสิทธิ์มากเกินไป จะนั่งกินนอนกินเงินอย่างเดียว ให้การอารักขาเขา ดีไม่ดีอย่างแร่ที่เขาศูนย์น่ะ กินกันไปกินกันมาตายหมด อย่างนี้มันต้อง ปู้ด ๆๆๆ เสียให้มันเสร็จสิ้นกันไป ไอ้ปู๊ด ๆๆ น่ะไม่ใช่ยิงหรอกนะ คือ เป่าคาถาให้ออกจากงานไปก็หมดเรื่อง

เป็นอันว่าเด็กชายออกมามีรูปร่างงดงามมาก ท่านจึงให้นามว่า “พรหมกุมาร” สำหรับเด็กสหชาติทั้งหลายก็มีชื่อลงท้ายว่าพรหมเหมือนกัน เช่น ศิริพรหม กาญจนาพรหม มโนพรหม ฯลฯ

นับตั้งแต่พรหมกุมารอยู่ในครรภ์ เริ่มต้นความอุดมสมบูรณ์ก็ปรากฏแก่บรรดาประชาชนชาวไทย และพวกขอมดำก็ลดตัวในการข่มเหงคนไทยลง เพราะคนไทยเกิดความแข็งแกร่งในจิต

สำหรับเรื่องราวของพระเจ้าพรหมมหาราช นี่ถ้าจะพลาดพลั้งไปบ้าง ขอลูกจงให้อภัยแก่พ่อ เพระพ่อเป็นคนแก่ ตอนนี้ลูกอย่าลืมนะว่า เรากำลังพูดถึงอดีตของบรรดาบรรพบุรุษไทย ซึ่งท่านที่กล่าวมาแล้วทั้งหมด และท่านที่เกิดมาเบื้องหลังของท่านทั้งหมดเวลานี้ ชีวิตของท่านไม่มีอยู่แล้ว ในช่วงนี้เราคุยกันถึงแดนของพระธาตุจอมกิตติ ซึ่งเป็นโยนกนครเก่า กำแพงเมืองยังมีอยู่ แต่ทว่ากำแพงก็ไม่เป็นกำแพง เมืองที่เต็มไปด้วยความสวยสดงดงามก็ไม่มีอยู่แล้ว และในที่สุดคนทั้งหมดก็ตายหมด แต่พ่อก็ไม่แน่ใจนักว่า คนทั้งหลายที่ตายในเวลานั้น มานั่งร่วมวงคุยกับพวกเราอยู่ด้วยก็ไม่ทราบ ขอบรรดาลูกรักทั้งหมด จงอย่าเอาจิตไปติดในวัตถุ “วัตถุที่มีความสำคัญที่สุดก็คือร่างกายของเรา ที่เราเห็นว่าร่างกายมันเป็นเรา เป็นของเราน่ะ ความจริงมันไม่ใช่”

พ่อมองดูหน้าลูกรักทุกคนที่นั่งอยู่ในที่นี้ พ่อคิดว่า ลูกทุกคนคงจะเกิดในสมัยนั้นแล้วก็มีการเปลี่ยนแปลง คือ ตายแล้วก็เกิด เกิดแล้วก็ตาย มีความสุขบ้าง มีความทุกข์บ้าง ในที่สุดก็ตาย แล้วก็เกิด แล้วก็ตาย มาเป็นคนสมัยนี้ นี่เป็นความรู้สึกของพ่ออย่างเดียว พ่อไม่ยืนยัน แต่ถึงอย่างไรก็ดี เราก็คงเกิดหลายวาระ การเกิดแล้วตาย ตายแล้วก็เกิด เกิดแต่ละชาติมันก็มีแต่ความทุกข์ มีภาระในการปกครอง มีภาระในการบริหาร ในการเกิดทุกครั้ง เราก็หวังในความรุ่งเรืองของชีวิต แต่แล้วในที่สุดสิ่งทั้งหลายเหล่านั้นก็หมดไป

ฉะนั้น ขอบรรดาลูกรักทั้งหลายที่ได้อภิญญาสมาบัติ และวิชชาสาม จงใช้อภิญญาสมาบัติ และวิชชาสามที่ได้มุ่งพระนิพพานอย่างเดียว การที่จะท่องเที่ยวไปดูภพดูชาติต่าง ๆ เป็นของดี แต่ก็อย่าเอาจิตไปยุ่งกับโลกีย์วิสัย คือ ความโลภ และความโกรธ คิดว่าชนชาตินั้นเคยเป็นศัตรูของเรา ชนชาตินี้เคยเป็นมิตรของเรา นี่เป็นทรัพย์สินของเรา อย่างกับคนที่มีอุปาทานกินใจ บอกว่าคนนั้น เมื่อชาตินั้นเคยเป็นภรรยาของฉัน ชาตินั้นเคยเป็นพระราชา เธอเคยเป็นภรรยาของฉันมาก่อน เธอเคยเป็นสามีของฉันมาก่อน เธอจะไปไหนไม่ได้ พ่อคิดว่านั่นเป็นอารมณ์ของความบ้ามากว่า เรื่องของคนละชาติมันก็เป็นคนละชาติ จะเอามาบวกกับชาตินี้ไม่ได้ ขอลูกจงอย่าติดอาการอย่างนั้น เป็นการแสดงถึงการติดด้วยอำนาจกิเลส คือ ตัณหาเป็นสำคัญ มีอวิชชาเป็นเบื้องหน้า “ควรจะคิดอย่างเดียวว่า เราจะทำอย่างไรจึงจะไม่เกิด”

วิธีการไม่เกิด พ่อสอนลูกอยู่แล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิชชาสามกับอภิญญาที่ลูกได้นี่แหละเป็นจุดหมายชี้แนวทางแห่งการไม่เกิด ควรศึกษาความไม่เกิดเข้าไว้ การไม่เกิดเราต้องเสียสละ คือ

ประการแรก เราต้องเสียสละเวลาการงานที่มีประโยชน์ของเราไปทำงานสาธารณประโยชน์ เพื่อทอดทิ้งความห่วงใย อาลัยในชีวิต แต่ก็ต้องเป็นบางจุด บางเวลา อย่าถึงกับเคร่งเครียดเกินไป

ประการที่สอง สละทรัพย์สมบัติที่มีอยู่เป็นส่วนสาธารณประโยชน์บ้างตามสมควรเพื่อเป็นการตัดความโลภ และเพื่อไม่เป็นการยึดเหนี่ยวชีวิตเกินไป เห็นว่าทรัพย์สินทั้งหลายที่เราเคยมีในกาลก่อนมากกว่านี้ เราก็แบกไปไม่ได้

ประการที่สาม เราให้อภัยแก่คนผิดจัดเป็นอภัยทาน เป็นการตัดโทสะ
ประการที่สี่ เห็นว่าร่างกายนี่ไม่เป็นสาระ ไม่เป็นแก่นสาร มันเป็นปัจจัยของความทุกข์ ไม่ยึดถือร่างกาย ไม่ต้องการมี

ร่างกายต่อไป มีความต้องการอย่างเดียว คือ พระนิพพาน เป็นการตัดโมหะ คือ ความหลง
เท่านี้พอแล้วลูกรัก ตั้งอารมณ์หยั่งไว้เฉพาะพระนิพพานเป็นอารมณ์
การสอบสวนสืบเรื่องนรกมีจริง การระลึกชาติได้ถอยหลังเข้าไปหาความเบื่อนี่เป็นของดีพ่อไม่ห้าม แต่ว่าไปอวดวิเศษพ่อไม่เห็นชอบด้วย

มาคุยกันต่อไปถึงเรื่องพระเจ้าพรหมมหาราช อาศัยที่เคยเป็นเณรมาก่อน มีเมตตาบารมี และอาศัยอำนาจฌานสมาบัติที่เคยได้นี้ไปเป็นพรหม กลับมาเกิดเป็นลูกชายของพระเจ้าพังคราช ลูกจะเห็นอำนาจของทานบารมี คือ พระเจ้าพรหมเป็นผู้มีเมตตาจริง เป็นผู้ให้อภัยทาน คิดเผื่อแผ่ให้คนไทยทั้งชาติมีความสุข ประการหนึ่ง

ประการที่สอง เคยเกิดเป็นเณรมีศีลบริสุทธิ์ อดกลั้นความโกรธ ตอนเป็นเณรมีฌานสมาบัติ พ่อคิดว่าจะมีวิปัสสนาญาณด้วย

อานิสงส์ของทาน ท่านบอกว่า “ทานัง สัคคะโส ทานัง” ทานเป็นบันไดให้เกิดบนสวรรค์
อานิสงส์ของศีล “สีเลนะ สุขะติง ยันติ” ศีลเป็นปัจจัยให้เกิดความสุข “สีเลนะโภคะสัมปะทา” ศีลเป็นปัจจัยให้มีโภคสมบัติมาก “สีเลนะ นิพพุติง ยันติ” ศีลเป็นปัจจัยให้ดับความทุกข์

เราจะมองเห็นอานิสงส์ของศีลของทานกันในตอนนี้ ตอนเป็นสามเณรมีศีลบริสุทธิ์ มีอภัยทานทำไว้แล้วด้วยดี มีเมตตาปรานี มีฌานสมาบัติ มีวิปัสสนาญาณ ระลึกถึงคุณพระรัตนตรัยเป็นสำคัญ เป็นสมาธิ แล้วก็ตายไปเป็นพรหมมีความสุข

ลงมาเกิดพร้อมด้วยสหชาติ พอเข้าท้องแม่ก็ปรากฏว่า ทรัพย์สินทั้งหลายปรากฏแก่บรรดาประชาชน ของที่เคยหายากก็หาได้ง่าย ของที่เคยหาได้น้อยก็หาได้มาก จิตใจของคนไทยทั้งชาติกลายเป็นไทยนักสู้รวมกำลังใจกัน นี่เป็นเรื่องของบุญบารมีที่สั่งสมไว้ ใครเขาจะว่ายังไงก็ช่างเขาเถอะ เราเห็นผลของเราก็แล้วกัน อาศัยที่ท่านมีจิตเมตตาอารีต้องการให้คนไทยรักกัน สามัคคีกัน มีความสุข ฉะนั้น ตั้งแต่เริ่มอยู่ในครรภ์มารดาก็ปรากฏว่าคนไทยมีความสมัครสมานสามัคคีกัน ความไม่สิ้นอาลัยในชีวิตที่คิดว่า คนไทยทั้งชาติจะต้องตายเพราะถูกขอมทำลายก็หมดสิ้นไป กลับเป็นคนไทยที่มีกำลังใจเพื่อสู้ คนไทยมีนิสัยตามผู้นำ ถ้าผู้นำดีไทยทั้งชาติก็สามารถจะเป็นเอกราชได้ ถ้าผู้นำชั่วไทยทั้งชาติก็จะมีแต่ความมัวหมอง เราจะดูได้ในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา บางครั้งเราได้ผู้นำดีเราก็มีความสุข หน้าชื่นตาบาน บางครั้งที่มีผู้นำระยำก็หน้าเศร้าไปตาม ๆ กัน สิ่งที่ไม่ควรเสียก็เสีย สิ่งที่ควรจะได้ก็ไม่ได้

มาตอนนี้ เมื่อพระเจ้าพรหมเกิดแล้ว พระยาโหราธิบดีพยากรณ์ไว้ว่า เด็กคนนี้มาจากพรหม จะมาทำให้ไทยทั้งชาติเป็นอิสรภาพ ไทยจะเป็นเอกราช จะชนะขอม กำลังใจของคนไทยก็เข้ามารวมกัน มีความสุข พืชพันธุ์ธัญญาหารอุดมสมบูรณ์ขึ้น คนไทยตั้งหน้าตั้งตารออยู่อย่างเดียวว่า “เมื่อไรหนอ พรหมกุมารจึงจะโตพอที่จะเป็นผู้นำเกี่ยวกับการรบได้”

ที่ลูกทุกคนเห็นแล้วว่า สมัยนั้นพระเจ้าพังคราชทรงแต่งตัวแบบชาวบ้านธรรมดาไปไหนก็จูงลูกชายคนโต คือ ทุกภิกขะ หรือทุกขิตะกุมา และอุ้มลูกชายคนเล็ก คือ พรหมกุมารเป็นเด็กสวย
น่ารัก ไว้ผมจุกมีเครื่องล้อมจุก แลมีปิ่นปักเป็นทองคำประดับด้วยทับทิม ท่านเดินไปไหนคนไทยเห็นแล้วก็มีความสุข นี่ลูกรัก ไอ้ความสุข ความทุกข์จริง ๆ น่ะมันอยู่ที่ใจ ท่านจะไปไหนก็มีคนกราบไหว้บูชา เห็นรึยังลูกว่าค่าของความดีของคนมีศีลมีธรรมน่ะ มีประโยชน์อย่างนี้

ขอเล่าลัดตัดความมาถึงเด็กชายพรหมโตเป็นเด็ก ชอบเล่นยุทธวิธี เอาสหชาติ ๒๕๐ คน มาเล่นรวมกัน ชอบการรบ เอาไม้มาทำเป็นอาวุธบ้าง ทำม้าขี่บ้าง ทำหน้าไม้บ้าง สมมติขึ้นเล่นกองทัพช้าง กองทัพม้า กองทัพราบ เล่นขนเสบียงอาหาร เล่นการเกษตร ทำโรงงานสร้างอาวุธบ้าง สมมติเอา สมมติว่านี่เป็นเหล็ก เป็นทองคำ นี่เป็นเงิน เป็นอะไรก็ตาม บรรดาผู้ใหญ่เห็นเด็กเล่นแบบนี้ ก็ชื่นใจในยุทธวิธีของเด็กอย่างคาดไม่ถึง ก็เป็นเรื่องแปลก อย่างเล่นสมมติว่า ถ้าข้าศึกมีฝีมือดีกว่า หนังเหนียว เราจะรบกับข้าศึกอย่างนี้เราจะทำยังไง นั่นคือ การฝึกกระโดดสูง กระโดดข้ามรั้ว และให้สูงขึ้นเรื่อย ๆ จนกระโดดข้ามหัวคนได้แบบสบาย ๆ แล้วฝึกตีข้าศึกด้านท้ายทอยด้วยสันดาบ เวลารบยั่วข้าศึกเปิดจังหวะให้ข้าศึกฟัน พอข้าศึกโถมตัวเข้าฟันก็หลบแล้วโดดขึ้นสูงตีท้ายทอยด้วยสันดาบ วิธีนี้เขาก็เล่นกัน

พออายุเกือบ ๑๐ ปี เริ่มใช้มันสมอง คือเมื่อติดตามพระราชบิดาไปไหนก็มักจะถามว่านี่เขาทำอะไรกัน ตอนนั้นการทำพืชพันธุ์ธัญญาหารก็ดี แร่ก็มีมาก ทองคำก็ได้มากการทำพืชพันธุ์ธัญญาหารเวลานั้น ทำในพื้นที่แคบ ๆ พรหมกุมาจึงได้กราบทูลสมเด็จพระราชบิดาว่า “การปลูกพืชพันธุ์ธัญญาหารจะหวังแต่น้ำฝนอย่างเดียวก็ไม่พอ ถ้าจะให้อุดมสมบูรณ์กว่านี้ก็น่าจะขุดบ่อเป็นที่เก็บกักน้ำไว้ใช้ในฤดูแล้งจะได้ปลูกพืชได้ ควรขุดบ่อใหญ่ ๆ เวลาที่เด็กคนนี้พูดกับพ่อคือพระเจ้าพังคราช คนเขาก็นั่งล้อมเขาก็ได้ฟังด้วย ทุกคนก็เห็นชอบด้วยนี่เป็นประชาธิปไตยแท้ไม่ใช่คณาธิปไตย

บรรดาประชาชนฟังแล้วก็เข้าใจและเห็นชอบด้วย ก็ส่งข่าวกันออกไปว่า พวกเรา เด็กชายที่จะมาทำให้เรามีความสุข ให้ขุดบ่อใหญ่ ๆ ไว้ เก็บกักน้ำไว้จะได้ใช้ในฤดูแล้งปลูกผักได้ วัวควายจะได้กินน้ำได้ คนก็ใช้น้ำได้ด้วย ทำไร่ทำนาได้ ประชาชนทุกกลุ่มทุกหมู่บ้าน พากันขุดบ่อไว้ เวลาฝนตกน้ำหลากมา น้ำก็เต็มบ่อ เวลาฝนหมดไปแล้วน้ำก็ยังมีอยู่ใช้สะดวก ปลูกผักสวนครัว เลี้ยงสัตว์กัน ตอนนี้อุ่นหนาฝาคั่ง

..............................................


ช้างพลายประการแก้ว

จาก หนังสือ เรื่องจริงอิงนิทาน (พิเศษ)

เมื่อพรหมกุมารอายุได้ ๑๒ ปี คืนวันหนึ่งมีเทวามาเข้าฝันว่า วันรุ่งขึ้นให้ไปที่แม่น้ำโขงจะมีช้างเผือก ๓ เชือก ถ้าจับช้างเชือกที่ ๑ ได้จะเป็นจ้าวโลก ถ้าจับช้างเชือกที่ ๒ ได้จะปราบชมพูทวีปได้หมด ถ้าจับช้างเชือกที่ ๓ ได้จะปราบขอมได้หมด พอตื่นขึ้นมาก็กราบทูลให้พระราชบิดาทราบ และพระราชบิดาก็มีความเชื่อมั่นว่า ลูกชายคนนี้มาจากพรหมจะต้องมีเทวดาประคับประคอง จึงอนุญาตให้ไปดักช้างเผือกได้ ตอนสาย พรหมกุมารไปดักช้างตามความฝัน แทนที่จะเห็นช้างก็กลับเป็นงูหงอนแดงตัวขาวโพลนใหญ่โตมาก พรหมกุมารกับเพื่อน ๆ คิดว่า เรามาคอยช้าง แต่นี่เป็นงูหนอนก็ไม่เอา ตัวที่สองมาเป็นงูหงอนแบบเดียวกันอีก แต่ขนาดย่อมลงไปหน่อยก็ปล่อยไปอีก ตัวที่สามก็มาแบบเดียวกันอีกก็เลยตัดสินใจ งูก็งู มีบัญชาบอกเพื่อนสหชาติลงจับละ ก็โผลงไปในน้ำ โดดจับคองูหนอนก็

กลายเป็นช้างเผือกขาวโพลนเดินทวนน้ำมาได้ น้ำกำลังไหลหลากมาก ที่นั่นจึงมีนามว่า “บ้านควานทวน” ตอนนี้ช้างไม่ยอมขึ้นฝั่งละซี ขับไสอย่างไรก็ไม่ยอมขึ้น พรหมกุมารจึงให้สหชาติไปกราบทูลพระราชบิดาให้ทรงทราบพระองค์ก็เรียกโหรมา โหรบอกว่า ต้องเอากระพังทองไปตีล่อจึงขึ้นมา (สำหรับกระพังทองคำน่ะทำไว้แล้ว ตามประวัติศาสตร์บอกว่าทำวันนั้นน่ะไม่ทันหรอก ท่านบอกพระเจ้าแม่ทำไว้แล้ว)

พระเจ้าพังคราชจึงจัดให้คนแต่งตัวสวย ๆ ถือดอกไม้ธูปเทียนเครื่องสักการะจัดเป็นขบวนไปถึงกราบไหว้เชิญพระยาคชสาร แล้วตีกระพังทอง ช้างก็เดินตามกระพังทองขึ้นมาแบบสบาย พอมาถึงที่ก็จัดพิธีทำขวัญช้างพลายประกายแก้ว ซึ่งมีสีขาวโพลนตามลำตัวมีประกายระยับคล้ายแก้วสวยสดงดงามจึงทำเครื่องประดับครบเครื่องทรง และปล่อยเป็นอิสระไม่มีการใส่ปลอก รางที่ใส่หญ้าให้กินก็ทำด้วยทองคำ ปล่อยเข้าป่าสบาย ๆ สัตว์ในป่าทั้งหมดกลัวช้างพลายประกายแก้วยอมหมอบราบคาบแก้ว แต่มีช้างที่อยู่ในป่ามาร่วมเป็นสหชาติด้วยโดยไม่ต้องไปต่อหรือไปดึงมา ช้างพลายประกายแก้วเป็นหัวหน้าพาโขลงช้างเข้ามาในเวียง ทุกคนดีใจมากที่มีช้าง มีม้า การฝึกง่ายมากพูดภาษาคนธรรมก็รู้เรื่อง

เมื่อพรหมกุมารอายุได้ ๑๖ ปี พระเจ้าพังคราชก็ให้แต่งงานมีภรรยาเป็นหลักฐาน ต่อมาท่านก็ทำงานใหญ่ กราบทูลพระราชบิดว่า คนไทยขืนเป็นทาสของขอมต่อไป ความเป็นไทก็ไม่มีเราก็ไม่มีความสุขเพราะเขาบีบคั้นเรา ทองคำ ๒๐ ชั่งต่อปี ให้เขาไป ๑๐ ปีก็ ๒๐๐ ชั่ง เราหามาด้วยหยาดเหงื่อแรงงานก็ไม่น่าจะให้เขา แต่พระราชบิดาก็กล่าวว่า “เราเป็นผู้แพ้เขานี่ลูก” ลูกชายพรหมกุมารจึงกล่าวว่า “ต่อไปนี้เราจะไม่เป็นผู้แพ้ ดินแดนของเราอยู่เพียงไหนเราจะยึดเอามาให้หมด แล้วจะยึดพื้นที่เพิ่มอีกไม่น้อยกว่า ๔ เท่า”

เวลาคุยกันนี่ก็เป็นเวลาที่อยู่กับประชาชน ชาวบ้าน ไม่ใช่เวลาออกขุนนาง เพราะพระเจ้าพังคราชท่านเสด็จไปไหน ท่านก็นุ่งกางเกงดำคลุมเข่าลงนิดหน่อย ใส่เสื้อดำมีผ้าขาวม้าคาด ดีไม่ดีท่านก็แบกจอมแบกเสียมไปทำทุกอย่างที่เขาทำกัน ไม่เคยนั่งชี้นิ้วเป็นจ้าวเป็นนายไปไหนตัวเสน่ห์ใหญ่ คือ เด็กชายพรหม คนเขาก็หมอบราบคาบแก้ว เด็กชายพรหมก็วิ่งไปกราบเขา ว่าคุณลุงคุณป้าอย่ากราบผมเลย ผมก็เป็นลูกคนธรรมดา ๆ จะกราบผมทำไม แต่ทุกคนเขาไม่ยอมเพราะเขาเชื่อโหรพยากรณ์ว่าเด็กคนนี้จะกู้ชาติ

เป็นอันว่า เด็กชายพรหมกราบทูลพระราชบิดาว่า “ต่อไปนี้คนไทยทุกคนต้องเป็นนักรบ” พระราชบิดาก็กล่าวว่า “ตั้งแต่ลูกเข้ามาสู่ครรภ์แม่ คนไทยเขาก็เป็นนักรบกันหมดแล้วลูก เขาฝึกปรืออาวุธกันเป็นอย่างดี” พอดีมีคุณยายคนหนึ่งอายุ ๘๐ ปี แล้วลุกขึ้นคว้าขวานชูขึ้นบอก “หลายเอ๋ย ถ้ายายจะต้องตายเพราะฆ่าขอมให้ตาย ยายพร้อมตายเพื่อความเป็นไท” แล้วยายก็แกว่งขวานให้ดู เป็นอันว่าคนไทยทุกคนต้องการอย่างเดียวว่า เด็กชายพรหมจะเอาอะไร เขาพร้อม เมื่อเด็กชายพรหมต้องการให้คนไทยทุกคนมีชีวิตเป็นทหารบรรดาแม่ทัพนายกองเก่า ๆ ทั้งหลายเขาฝึกอาวุธไว้แล้ว และคนไทยทุกคนก็พร้อมอยู่แล้วจึงร่วมกันฝึกอาวุธทันทีฝึกกันเป็นหย่อม ๆ แต่ต้องปิดบังขอม

............................................





เตรียมกู้อิสรภาพ

จาก หนังสือ เรื่องจริงอิงนิทาน (พิเศษ)


ยุทธวิธีแบ่งเป็น พลม้า พลช้าง พลราบ พลหอก พลดาบ พลธนู แยกย้ายกันออกไปฝึกไม่ต้องเกณฑ์เขามาฝึกกันเองด้วยกำลังใจ
เด็กชายพรหมก็ปรึกษาพระราชบิดาต่อหน้าประชาชนว่า ถ้าเราจะรบกับเขานี่ ถ้าเวลาฤดูแล้งเขาปิดน้ำเราตาย เราควรจะขุดสระใหญ่ ๆ ไว้ ในบริเวณของเราสัก ๑๗ สระ สมมติว่าถ้าเราจะถูกกักบริเวณสัก ๑ ปี น้ำของเราจะพอกินพอใช้ก่อนฤดูน้ำหลากมา ทำเกษตรก็ได้ และอีกประการหนึ่ง เราต้องสะสมอาหารไว้ให้มาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มีข้าวกับเนื้อสัตว์เค็ม ถ้าเกิดรบกันขึ้นมาอาจจะต้องใช้เวลาเป็นปี เราจะได้ไม่ขาดอาหาร

เมื่อชาวบ้านได้ยินลูกชายพูดกับพ่อ ก็เหมือนได้รับคำสั่ง ต่างคนต่างไปขุดสระ และเชื่อมน้ำติดต่อกันทุกสระด้วยลำรางเล็ก ๆ แล้วขุดลำรางเชื่อมจากแม่น้ำโขงกับสระใหญ่ เมื่อน้ำเต็มสระใหญ่ก็ไหลต่อไปสระเล็ก ทุกสระเต็มไปด้วยน้ำ

เมื่อเตรียมการเสร็จ พรหมกุมารก็กราบทูลสมเด็จพระราชบิดาว่า “ต่อแต่นี้ไปไม่ต้องส่งส่วยขอมดำอีกแล้ว” พูดต่อหน้าประชาชน พระราชบิดาก็ตอบว่า ถ้าไม่ส่งส่วยเขาก็มารบซิลูกเพราะเขาหาว่าเราแข็งเมือง เด็กชายพรหมจึงว่า “เราพร้อมรบ ไม่พร้อมรับ แต่เราพร้อมรุก” พระราชบิดากก็เตือนว่า ลูกรัก พลรบคือทหารของเขามันเท่ากับพลเมืองของเราทั้งหมดนะลูกนะ เด็กชายพรหมจึงกราบบังคมทูลพระราชบิดว่า “เรื่องการรบนี่ การแพ้หรือชนะไม่ได้อยู่กำลังพล ถ้ารบด้วยกำลังคนหรือกำลังอาวุธ ก็ถือว่าเป็นการแพ้ชนะที่ไม่เด็ดขาด การรบจริง ๆ ต้องใช้กำลังคนด้วย กำลังปัญญาด้วย กำลังความสามัคคีด้วย ความเด็ดเดี่ยวด้วย ลูกมั่นใจว่าการรบคราวนี้ถ้าจะพึงมีขึ้นเราต้องชนะ แต่เราไม่ได้เป็นฝ่ายไปตีเขา ถ้าเขามาตีเรา เราก็ตีเขา ถ้าเขาไม่ตีเรา เราก็ยังไม่ตีเขา เราพร้อมรบเท่านั้น ต้องพร้อมรับและพร้อมรุก

เป็นอันว่า พระเจ้าพังคราชก็ตามใจเพราะเชื่อโหร ท่านไปถามพระยาโหราธิบดีว่า “ว่ายังไง” โหรก็ยิ้มและตอบว่า “เห็นชอบด้วยกับพรหมกุมารพระเจ้าค่ะ และเวลานี้ก็ถึงเวลาแล้วที่ไทยจะเป็นอิสรภาพ” แล้วโหรก็ลงเลขฉับ ๆ ตอบว่า “เรื่องการรบ แพ้สงครามไม่มี” เท่านั้นเองประชาชนลุกขึ้นไปกระจายข่าวว่า “ไทยเตรียมรบ ไทยจะไม่เป็นทาสขอม ไทยจะไม่ให้ทองคำแก่ขอม เราพร้อมรบ” คนไทยทุกคนยิ้มแย้มแจ่มใส รื่นเริงคอยเวลานี้มา ๑๖ ปี แล้วว่าเมื่อไรจะลั่นกลองรบด้วยวาจาของพรหมกุมาร

เจ้าขอมดำมันรู้ว่าแข็งเมืองเพราะไม่ส่งส่วย ก็จัดแจงยกกองทัพมาปราบเราหวังเผด็จศึกให้สิ้นซากไป ฝ่ายคนไทยพร้อมอยู่แล้วนี่ ก็จัดกองทัพยกออกไปทันที

การยกกองทัพไปคราวนั้นมีช้างพลายประการแก้วนำทัพ พรหมกุมารประทับนั่งทรงเครื่องแม่ทัพสวยงามสง่าผ่าเผยมาก สำหรับพระราชบิดาประทับบนหลังช้างอีกเชือกหนึ่งมีเศวตฉัตรกั้นเป็นจอมทัพ มีแม่ทัพนายกองแต่งตัวสวย ๆ เพราะพรหมกุมารได้กราบทูลพระราชบิดา และพระราชมารดาว่า “นักรบทุกคนต้องแต่งตัว สวยเป็นการตัดไม้ข่มนาม” ข่มกำลังใจกันไปในตัวเสร็จ พลทหารใช้เกราะเงินแกมทอง นายทหารใช้เกราะทอง แม่ทัพใช้เกราะทองประดับเพชร มันเป็นการสง่าผ่าเผย ทำให้ข้าศึกครั่นคร้ามเป็นจิตวิทยาอันหนึ่ง แม้จะมีการรบเราก็พร้อมรบพร้อมรุกแต่งตัวสวยสะโอดสะอง

ขอมยกทัพมามีกำลังมากว่าเรา ๔ เท่า แม่ทัพยิ้ม สหชาติ ๒๕๐ ก็ยิ้ม ชี้ให้กันดูว่า พวกนี้ไม่มีชีวิต เจ้าพวกขอมที่มากันนี่มันเป็นผีหมด เป็นการปลุกใจกัน ดูซิว่าเครื่องแต่งกายมันก็สู้เราไม่ได้ เหมือนอสุรกายแท้ ๆ และมาอย่างเกณฑ์กันมา ของเราไม่มีการเกณฑ์เรามาด้วยกำลังใจ การรบแพ้ชนะอยู่ที่กำลังใจเป็นสำคัญ เรามีความสามัคคีกันมีความหวังดีกัน

นี่แหละลูกหลานที่รัก การที่เราจะอยู่ร่วมกันด้วยดี ก็ต้องอาศัยชนะกำลังใจกันเป็นสำคัญ การชนะแต่กายมันชนะไม่จริง โดยเฉพาะพวกที่อยู่ด้วยกันต้องมีความสามัคคีกัน
พรหมกุมารจึงประกาศกับบรรดาประชาชนว่า ถ้าคนไทยจะพึงแพ้แล้วก็ควรจะตายกันทั้งชาติ เพราะว่าผืนแผ่นดินแห่งโยนกนครทั้งหมดตั้งแต่เชียงแสนมาถึงพะเยาเป็นของเราเดิม เวลานี้เราถูกจำกัดเขตให้อยู่ในแดนทุรกันดารมีเนื้อที่นิดหน่อยประมาณแสนไร่เศษ แล้วคนของเรามีเท่าไร ขอมดำไม่ใช่เจ้าของพื้นที่ แต่กลับมาเป็นเจ้าของพื้นที่ อิสรภาพของเราก็หมดไป และนอกจากนั้นเราต้องส่งส่วยทองคำให้เขาปีละ ๑๐ ชั่ง คิดเป็นเงินเท่าไร ถ้าเราจะเอาทองนั้นมาขายเลี้ยงคนของเราเองก็จะมีความสุข โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนของเราเกิดขึ้นมาทุกวันจำนวนคนมากขึ้น เนื้อที่ก็ดูเหมือนว่าจะแคบลง เมื่อเทียบกับจำนวนคนที่มากขึ้นเพราะเนื้อที่มันเท่าเดิม การทำมาหากินก็ลำบาก ต้องไปหากินในแดนไกลออกไป

ดังนั้น การรบคราวนี้ เรารบเพื่อหวังประโยชน์สองอย่าง
๑. รบเพื่อหวังอิสรภาพ ไทยต้องเป็นไท
๒. เพื่อขับไล่ขอมให้ออกไปจากเขตของประเทศไทย

การรบคราวนี้ถ้าเพลี่งพล้ำ แพ้เขาแล้ว ไทยทั้งชาติจงอย่ามีชีวิตอยู่เลย และถ้าเราจะตายก็ควรจะตายจากอาวุธของข้าศึก ไม่ใช่ตายด้วยการฆ่าตัวตาย เพราะการฆ่าตัวตายหนีภัยจากข้าศึกเป็นความขลาดของบุคคลที่ไม่ใช่คนไทย เราต้องต่อสู้กับข้าศึกและต้องตายเป็นคนสุดท้าย ถ้าเราขืนมีชีวิตอยู่ ขอมจะไม่ปรานีเรา เพราะอะไร?

"เพราะอันดับแรก เขายึดพื้นที่ของเรา อันดับต่อมาเขากักบริเวณให้เราอยู่เป็นการทรมานเราให้หนีไปจากแผ่นดินที่เขาต้องการ หรือให้เราตายไปเพราะความลำบาก เขายื่นโยนความตายให้เราทีละน้อย ๆ"

"คนไทยทุกคนเคยมีบ้านสวยสดงดงามในโยนกนคร เคยมีอิสรภาพ เคยอยู่เป็นสุข จะกินก็มีความสุข จะนอนก็มีความสุข เป็นพื้นเพที่มีความสบาย"

"แต่หลังจากขอมยึดพื้นที่เราไปแล้วขับไล่เรามาอยู่ที่ วังสีทอง หรือเวียงสีทอง มีขอบเขตจำกัด เรามีความรู้สึกยังไงบ้าง ขอบรรดาพ่อแม่ พี่น้องทั้งหลายนึกถึงความหลังว่าเดิมทีเราเคยมีที่อยู่ขนาดไหน มีบ้านโตหรือบ้านเล็ก อิสรภาพในการทำมาหากินของเราเป็นไปโดยสะดวกหรือลำบาก พระราชาของเราเคยกดขี่ข่มเหงบรรดาประชาชนชาวไทยเหมือนขอมดำหรือไม่ ลูกเขาเมียใครที่มีเจ้าของอยู่ ขอมต้องการเมื่อไรเราต้องยื่นโยนให้เขา แต่สมัยที่เราปกครองกันเองเป็นยังงั้นหรือเปล่า เมื่อพรหมกุมารพูดอย่างนี้ คนไทยทุกคนมีความรู้สึกนึกถึงความหลังว่าเดิมเราเคยมีนา ๑๐๐ ไร่ ๒๐๐ ไร่ เราจะไปไหนก็ได้ เราจะนอนเมื่อไรก็ได้ ไม่มีใครบังคับบัญชา ใครอยากค้าขายก็ค้า ใครอยากทำไร่ทำนาก็ทำได้ทุกอย่าง เรามีอิสรภาพ มีบริเวณกว้างขวาง แต่เวลานี้เรามาอยู่ในแคว้นจำกัด คนยัดเยียดกันเราเคยมีบ้าน ๑ หลัง คน ๑๐ คน อยู่ก็ไม่คับแคบ แต่เวลานี้เราต้องมาปลูกกระต๊อบอยู่โคนต้นไม้ ต้องขุดหัวเผือกหัวมันกิน ข้าวที่ทำขึ้นมาแต่ละปีก็ไม่พอจะกิน ต้องหาพืชพันธุ์ธัญญาหารจากป่ามากินกัน บางทีข้าวปลาไม่มีจริง ๆ ๔-๕ วัน เราจึงจะได้กินข้าว กินผล หมากรากไม้ไปตามที่หาได้ ร่างกายก็ทรุดโทรม"

"แต่ความอุดมสมบูรณ์ก็เกิดขึ้นมาได้เพราะพรหมกุมารเกิดขึ้นมา นี่คนโบราณเขาถือโชคลาง จะว่าเขาถือผิดก็ไม่ได้ เพราะเขาถืออยู่คนที่ว่านับแต่พรหมกุมารเกิดขึ้นมาแล้วทุกคนมีความสุขกัน ลืมตา อ้าปากได้ มีความสุขมีความอุดมสมบูรณ์ แต่ว่านี่มันเป็นพื้นที่แคบ ๆ ถ้าเรากลับยึดเอาโยนกนครคืนมาให้ได้หมด มันมากกว่าที่เราอยู่ปัจจุบันหลายร้อยเท่า ชีวิตความสุขจะกลับคืนมา และก็จะมีความสุขไปยิ่งกว่านี้ ทุกคนก็เห็นด้วย"

...............................................

กำลังของความสามัคคี

จาก หนังสือ เรื่องจริงอิงนิทาน (พิเศษ)


พรหมกุมารหรือพระเจ้าพรหมมหาราชจึงประกาศต่อไปอีกว่า "การรบคราวนี้จงนึกถึงการรบคราวก่อน เราแพ้เขา ทั้ง ๆ ที่เราไม่ได้ไปรุกรานเขา ขอมดำยกทัพมารุกรานเราเอง เราแพ้เขา เขาใช้อำนาจทำกับเรายังไง ถ้าเราแพ้คราวนี้ก็หมายถึงว่า คนทุกคนต้องตายอย่างทรมาน เพราะว่าเขาโกรธที่เราแข็งเมือง ฉะนั้น ขอทุกคนจงรบเพื่อชัยชนะ แต่อย่ามีความประมาท ข้อสำคัญที่สุดคือระเบียบวินัย ฟังคำสั่งผู้บังคับบัญชา สั่งยังไงทำตามโดยเคร่งครัด เราจะชนะข้าศึกได้ คำว่าแพ้จะไม่มีสำหรับคนไทย"

พอจบคำประกาศของพรหมกุมาร ก็มีเสียงโห่ร้อง (สมัยนั้นไม่มีคำว่า ไชโย) กึกก้องขึ้นมาทั้งแผ่นดินสะเทือนไปหมด พร้อมกันนั้นก็มีฝนตกลงมาเป็นฝอยแสงแดดจ้าเป็นเวลาเที่ยง ฝนละอองตกมาในอากาศ แสดงว่าบรรดาเทวดา พรหมทั้งหลายให้พร เมื่อความมหัศจรรย์เกิดขึ้นอย่างนั้น กำลังใจของคนไทยทั้งหมดก็มีความคึก เพราะเห็นว่าเทวดาช่วยเรา

กองทัพช้าง ทัพม้า ทัพหน้า ทัพหลวง ปีกซ้าย ปีกขวาพร้อม ไปตั้งทัพคอยข้าศึก เพราะเราได้เปรียบ นี่การรบมันต้องชิงไหวชิงพริบกันแบบนี้ ไม่ใช่ตั้งหน้าตั้งตาตีประจัญหน้ากัน ยุทธวิธีมี ๒ แบบ คือ ยุทธวิธี และกลยุทธ

ยุทธวิธี คือ รบตามแบบ สำหรับกลยุทธเป็นการใช้ปัญญาลวงข้าศึก การรบไม่ใช่ทุ่มเทแบบตายเป็นตาย มีเท่าไรตายให้หมด ถ้าแบบนั้นไม่ต้องไปรบหรอก นอนเชือดคอตายที่บ้านเสียก็หมดเรื่อง การรบต้องคิดว่า เราหนึ่งชีวิตถ้าชีวิตเราจะต้องเสียไปอย่างน้อยต้องแลกกัน หนึ่งต่อหนึ่ง และต้องคิดว่า การท้อถอยเนื่องจากบาดเจ็บ การเสียดายชีวิตจะไม่มีในเรา เราจะสละชีพเพื่อชาติ ไม่ใช่สละชาติเพื่อชีพ นี่ถ้าตัดสินใจแบบนี้แล้ว กำลังใจมันดีกำลังใจจะเยือกเย็น การรบนี่ใจสั่นไม่ได้หรอก มันเสียท่าข้าศึก เวลาเคลื่อนเข้าโจมตีกับข้าศึกต้องคิดว่า คราวนี้จะได้กลับหรือไม่ได้กลับไม่สำคัญ มันอาจจะต้องตายหรืออาจจะอยู่ก็ได้ ถ้าเราจะตายหนึ่งคนอย่างน้อยข้าศึกต้องตายหนึ่ง นี่การรบแบบไทยแท้ ๆ

เป็นอันว่า เมื่อตั้งรับเสร็จ ตั้งกลยุทธเสร็จ กองทัพขอมก็เคลื่อนมา เขามากกว่าเรา ๔ เท่า เรา ๑ เขามา ๔ คน หรือ ๑๐ เพราะกำลังพลรบเขาก็มากกว่าคนทั้งหมดของเราอยู่แล้ว และเราตัดเด็ก คนแก่ ออกอีกล่ะเหลือเท่าไร คนแก่ตั้งแต่ ๖๐ ปี ลงมาเป็นทหารหมด และถ้าอายุ ๖๐ ปี ขึ้นไปยังแข็งแรงอยู่ก็เอาเป็นทหารหมด เด็กอายุต่ำกว่า ๑๖ ปี ตัดออกไปเป็นกำลังหนุน และกำลังเสบียง สำหรับคนแก่อายุเกิน ๖๐ ปี ที่มีความชำนาญธนูหน้าไม้ก็เอาไว้เป็นกองโจร คอยรุกรานบั่นทอนกำลังข้าศึก

พรหมกุมารนั่งบนคอช้างประกายแก้ว สง่างามอยู่หน้ากองทัพ มีเศวตฉัตร ๗ ชั้น กั้นอยู่ นี่เป็นการข่มขวัญกัน มีคนกั้นเศวตฉัตรซึ่งท่านแม่ทำสวยแจ๋ว ทำด้วยแผ่นแก้วตำแหน่งแม่ทัพ สำหรับท่านพ่อคือพระเจ้าพังคราชมีฉัตรทองงามระยับ ๙ ชั้น กั้นเป็นจอมทัพ แต่ทว่าแม่ทัพสั่งจอมทัพอยู่เฉย ๆ ยังไม่ต้องรบ ท่านแต่งองค์สง่างามมาก

แม่ทัพนายกองแต่งตัวสง่าลดหลั่นตามลำดับ ช้างทุกเชือก ม้าทุกตัวมีเครื่องประดับแพรวพราว มีกูบทองคำทำสวยงามมาก ไม่รู้ว่าจะไปรบหรือว่าไปขายกันแน่

ลูกรักของพ่อทุกคน ฟังพ่อพูดละก็ดูตามไปด้วยนะ ใช้อตีตังสญาณนะลูก ดูว่าแนวรบเราตั้งยาวเหยียดขนาดไหน และหน่วยกองโจรที่ซุ่มตามที่ต่าง ๆ เลี้ยงวัว เลี้ยงควายกันตามประสาคนแก่เหลาแย่ พี่พวกข้าศึกนึกว่าไม่มีกำลัง เขาอยู่ที่ไหนกันบ้าง เขาเตรียมการณ์แบบไหนกันบ้าง นึกดูในใจนะ เอาใจเข้าไปจับภาพให้ชัด ถ้าไม่สามารถจับภาพได้ก็กราบทูลถามสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ได้ ทูลถามท่านปู่ก็ได้ลูก ท่านปู่พระอินทร์ หรือว่าท่านปู่พังคราชก็ได้ ว่าขอดูภาพในเวลานั้น ขอให้ภาพนั้นปรากฏแก่ใจของลูหลานเห็นไหมลูก

เราจะเห็นว่าในเวลานั้น การแต่งกายเป็นชายทั้งหมด แต่จริง ๆ เป็นผู้หญิงตั้งเยอะ จับดาบ ๒ มือ มีหอกซัด มีขอ มีง้าว สารพัด กองทัพขอมเขายกมาแบบรื่นเริงโห่ร้องกันมา การโห่ของขอมคงไม่เหมือนไทย ขอมคิดว่าคราวนี้ไทยต้องย่ำแย่ ขอมตั้งใจมาเลยว่าคราวนี้ขึ้นชื่อว่าคนไทยทุกคนจะต้องไม่มีชีวิตอยู่บนผืนแผ่นดินไทย เพราะขืนให้มันมีชีวิตอยู่มันก็ต้องขบถแบบนี้อยู่ตลอดเวลา เห็นไหมลูก เขาถือว่าเราขบถ แต่ว่าเขาเป็นโจรปล้นทรัพย์สินของเราเขาไม่คิด นี่เป็นกำลังใจของคนอันธพาล จะว่ากันจริง ๆ มันก็เป็นไอ้โจรร้ายนั่นเอง

พอกองทัพขอมดำเข้ามาใกล้ มันยับยั้งจะตั้งค่าย ยังไม่ทันจะตั้งท่าเพราะมันเดินขบวนมากัน พอล้ำเขตไทยเท่านั้น พรหมกุมารก็ให้สัญญาณยิงธนูไฟทันที หน่วยกองโจรที่เลี้ยงควายบ้าง ขุดหัวเผือกหัวมันบ้าง ก็ยิงธนูไฟ ยิงธนูสังหารทันทีมาจาก ๒ ข้างทางพร้อมกันนั้นกองทัพทั้งหมดก็บุกตะลุยทันที พรหมกุมารไสช้างพลายประกายแก้วสีขาวผ่อง และเนื้อเป็นประกายเข้าทันที บรรดาสัตว์พาหนะของข้าศึกเห็นช้างพลายประกายแก้วเข้าก็กลัว วิ่งหนีอย่างไม่คิดชีวิต ไอ้ขอมที่อยู่บนหลังม้าคอช้างมันจะอยู่ได้ยังไงเมื่อช้างม้ามันวิ่งหนี แม้แต่คนเดินก็เหมือนกัน กำลังใจเสียหมด

กองทัพไทยจึงไล่ฟาดฟันขอมอย่างไม่ปรานี พวกที่ตายมากก็คือกองทัพราบ ตายเพราะถูกช้างม้าเหยียบตาย คนเหยียบกันตายมาก ที่ไปไม่ไหวจริง ๆ ก็ถูกคนไทยทั้งสตรี และบุรุษ (แต่เวลานั้นแต่งตัวเป็นผู้ชายหมด) ไล่ฟันตายเสียนับไม่ถ้วน ความจริงถ้าจะนับก็ถ้วน แต่ไม่มีเวลานับ ข้าศึกวิ่งหนีไม่ได้ยับยั้ง วิ่งเข้าเมืองโยนกนครแล้วปิดประตูเมือง ช้างพลายประกายแก้วใช้งาแทงประตูพังเลย บุกเข้าไปฟาดฟันข้าศึก

ตอนนี้ภรรยาก็เป็นทหารไปรบด้วยตามเข้าไปเสียท่าข้าศึกตอนเข้าประตูเมือง ข้าศึกมันแอบอยู่ข้างประตูเมืองมันใช้หอกแทงภรรยาตาย ตอนนี้ใครเป็นใครตายเสียดายกันไม่ได้แล้ว พรหมกุมารเห็นเมียตายยิ่งโมโหร้ายใหญ่ ขับไสช้างประกายแก้วบุกฟาดฟันพังวินาศสันตะโร ข้าศึกเก็บของไม่ทัน ไล่ตีออกทางหลังเมืองตั้งตัวไม่ติด ของสักนิดเก็บไม่ได้ เพราะขืนเก็บก็ถูกฆ่าตาย หนีออกจากเมือง กองทัพของพระเจ้าพรหมราชติดตามไล่ข้าศึกไม่ลดละ ตีทั้งกลางวันกลางคืนไม่ยับยั้ง ถ้าจะถามว่ากินข้าวที่ไหน ก็ตอบว่า นักรบทุกคนมีข้าวตากคั่วผสมเกลือเค็ม ๆ หวาน ๆ มีข้าวตากยังไม่คั่วด้วยมีกระติกน้ำ รบไปกินไปประทังชีวิต ได้รับคำสั่งอย่างเดียว “ขอมอยู่ที่ไหนฆ่าให้หมดแม้แต่เด็กที่ออกในวันนั้น ก็อย่าให้เหลือเป็นเชื้อขอม ตีไม่หยุด ๓ วัน กับ ๓ คืน ขอมมันไม่ได้กินข้าวนี่ ปัดโธ่ มันก็เพลีย ไปไหนไม่ไหว ช้าลง ถ้าช้าก็ตาย แค่ ๓ วัน กองทัพช้างทัพม้าก็มาถึงทุ่งยั้งทัพที่เวลานี้เขาเขียนไว้ว่า “บ้านยั้งทัพ” มาหยุดตรงนั้น พลรบตามไม่ทันพระเจ้าพรหมราชจึงสั่งยั้งทัพเป็นการพักกำลัง แล้วเคลื่อนไปรวมกันที่บ้านชุมพล พักกันที่นี่ ๓ วัน

เป็นอันว่าข้าศึกซึ่งมีกำลังมากกว่าเรา ๔ เท่า ต้องย่อยยับไป ทั้งนี้เพราะอาศัยคนไทยตัดสินใจแน่นอนว่าการรบคราวนี้มี ๒ ทาง ถ้าไม่ชนะก็หมายถึงว่าตายทั้งชาติ เพราะเขาไม่เก็บเราไว้แน่ ดังนั้นการรบ ต้องตัดสินใจแน่นอน คำว่า ไม่กลัวตาย ต้องมีอยู่ในใจถือว่าเป็นของธรรมดา การป่วย เจ็บไข้ไม่สบาย การตาย ถือเป็นธรรมดาของนักรบ แต่ว่าเราก็ต้องหวังผลจากการรบคือ

๑.ได้รับอิสรภาพ
๒. ได้รับเนื้อที่
๓. คนเบื้องหลังมีความสุข
๔. คิดว่าเราสละชีวิตของเราหนึ่ง แต่ว่าเพื่อความสุขของคนเบื้องหลังอีกหลายเท่า อย่างนี้จึงจะเป็นนักรบได้ และการรบจริง ๆ ไม่ถือว่ากำลังเป็นสำคัญ กำลังคน กำลังอาวุธมีความสำคัญ ถ้าไม่มีเราก็รบไม่ได้ แต่ถ้ามีกำลังคน กำลังอาวุธ ถ้าขาดกำลังปัญญา มีกลังเท่าไรก็แพ้เขาเท่านั้น ดังนั้น กำลังคนก็ดี กำลังอาวุธก็ดี และกำลังปัญญาก็ดี ๓ ประการนี้ต้องประสานกัน นอกจากนี้กำลังสำคัญคือ กำลังเศรษฐกิจ คือ เสบียงอาหาร กำลังสำคัญใหญ่ก่อนออกรบ ก็คือกำลังแห่งความสามัคคีที่พ่อเคยบอกบรรดาลูกรักทั้งหลายว่า

คนไทยทั้งชาติ ควรจะตั้งอยู่ในสังคหวัตถุ ๔ มีศีลเสมอกัน มีจาคะเสมอกัน มีศรัทธาเสมอกัน มีปัญญาเสมอกัน

มีศีลเสมอกัน หมายถึงต่างคนต่างรักความเป็นสุขไม่เบียดเบียนซึ่งกันและกัน
มีจาคะเสมอกัน หมายถึงมีการเกื้อกูลซึ่งกันและกัน สร้างความรัก สร้างความเป็นปึกแผ่น
มีศรัทธาเสมอกัน คือ หาความเชื่อในสิ่งที่ควรเชื่อ
มีปัญญาเสมอกัน คือ ก่อนจะเชื่อใช้ปัญญาพิจารณาเสียก่อน

ทุกคนถ้าอยู่ร่วมกันได้แบบนี้ก็หมายถึงว่า เราทั้งชาติมีความสุข และไม่มีใครสามารถมาทำอันตรายเราได้

...............................................

ขอมดำสิ้นซาก

จาก หนังสือ เรื่องจริงอิงนิทาน (พิเศษ)


เป็นอันว่า เมื่อกองทัพหน้าอันมีพระเจ้าพรหมมหาราช ตีขอมดำตะลุยไม่หยุดเลย เป็นเวลา ๓ วัน ๓ คืน ก็มาพักทัพอยู่ที่บ้านยั้งทัพ แล้วเคลื่อนไปรวมพลที่บ้านชุมพล เห็นว่าทแกล้วทหารรวมตัวกันดี และทัพราบตามมาทัน มีการพักผ่อนตามสมควร ต่อมาก็ขยายกำลังออกเป็นจุดเล็ก ๆ เพราะตอนนี้ขอมไม่อยู่เป็นจุดใหญ่แล้ว ก็เก็บเล็กเก็บน้อย ขอมหมดแรง เจอะที่ไหนฆ่าที่นั่น ขึ้นชื่อว่าขอมไม่ให้มีชีวิตอยู่เลย ตอนนี้ต้องใช้เวลาถึง ๑ เดือน ก็มาถึงเมืองกำแพงเพชร


ตามตำนานท่านบอกว่าพระอินทร์มาเนรมิตกำแพงเพชรกั้นเอาไว้ ความจริงแล้วท่านเห็นว่า จะทำบาปมากเกินไปจึงให้วิษณุกรรมเทพบุตรมาทำให้ทหารทั้งหมด หมดกำลังใจ แม้แต่พระเจ้าพรหมมหาราชเอง คิดว่าการเก็บล้างขอมก็ยากแล้วแค่นี้ก็พอ เป็นอันว่าพระเจ้าพรหมราชได้ขยายอาณาจักรของโยนกนครจากพะเยาลงมาถึงกำแพงเพชร นี่ก็ไม่ใช่น้อย หลังจากนั้นก็ยกทัพกลับโยนกนคร ประชาชนที่อยู่เบื้องหลังยืนถือดอกไม้ ธูปเทียน รับทัพพระเจ้าพรหมมหาราช ๒ ข้างทางด้วยอาการสงบ

พระเจ้าพรหมมหาราชกลับไปก็อัญเชิญพระราชบิดาขึ้นเสวยราชสมบัติ ให้พี่ชายเป็นมหาอุปราชแทนที่ตัวจะเป็น ท่านเองก็มารักษาอยู่ที่กำแพงเพชรนี่ บ้านเมืองแห่งโยนกนครก็เป็นสุขต่อไป เพราะขอมสิ้นไปจากแผ่นดินไทยแล้ว อาณาเขตของโยนกนครเวลานั้นก็ขยายจากพะเยามาถึงกำแพงเพชรก็ไม่ใช่น้อย เวลานั้นพระเจ้าพังคราชมีอายุ ๔๒ ปี รวมเวลาที่เป็นทาสขอมอยู่ ๒๒ ปี คนไทยลืมตาอ้าปากได้มีความสุข

สร้างพระธาตุจอมกิตติ

จาก หนังสือ เรื่องจริงอิงนิทาน (พิเศษ)


ต่อมาพระพุฒโฆษาจารย์ซึ่งเป็นไทยใหญ่ ได้นำพระไตรปิฏกกับพระบรมสารีริกธาตุมาถวายพระเจ้าพังคราช ดังนั้น พระองค์จึงให้ลูกชายทั้งสอง คือ เจ้าชายทุกภิกขะ และพระเจ้าพรหมมหาราชมาร่วมกันบรรจุพระบรมสารีริกธาตุบนดอยน้อย คือพระธาตุจอมกิตติ สถานที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุทำเป็นอ่างทองคำฝังไว้ใต้ดิน มีเรือสำเภาทำมณฑปบรรจุผะอบแก้ว ผะอบทอง ผะอบเงิน ผะอบนาค และผะอบงาช้างเป็นชั้น ๆ เมื่อบรรจุแล้วก็สร้างเจดีย์ขึ้น ทำทองคำแผ่น รีดเป็นแผ่น ๆ แปะหุ้มภายนอกขององค์เจดีย์ตั้งแต่ยอดลงมาถึงฐานเต็มองค์ ดังนั้น เจดีย์องค์เดิมที่บรรดาลูกหลานเห็นเป็นทองอร่ามอยู่ภายในองค์ปัจจุบันนั่นเป็นความจริง ต่อมาพระเจ้าผาเมืองทรงสร้างเจดีย์องค์ใหญ่ทับเข้าไว้ที่เราเห็นอยู่ในปัจจุบัน ถ้าไม่สร้างทับไว้เวลานี้ทองคงจะหมดไป

เวลานั้น สมเด็จพระพุฒโฆษาจารย์ท่านชี้จุดบนดอยน้อยนี้ว่า องค์สมเด็พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จมาประทับ ณ ที่นี้ ทรงอธิษฐานให้เส้นพระเกศาของพระองค์หลุดติดพระหัตถ์มา ๓ เส้น เมื่อทรงเสยพระเกศา แล้วพระพุทธองค์ก็ทรงฝังเส้นพระเกศาโดยการอธิษฐานให้จมลงไปบนยอดดอยน้อยนั้น แล้วทรงพยากรณ์ว่า “เขตแดนนี้ต่อไปจะมีนามว่าโยนกนคร จะมีความเจริญรุ่งเรือง จะสามารถรักษาพระพุทธศาสนาไว้ได้ครบ ๕,๐๐๐ ปี” เวลานั้นทุกคนทราบเรื่องก็ดีใจ ประกอบกับมีความเคารพในองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามากอยู่แล้ว ต่างคนต่างก็บูชาด้วยเครื่องสักกาวรามิสต่าง ๆ และได้ปฏิบัติเป็นปกติอยู่แล้วในด้าน ทาน ศีล ภาวนา ครบถ้วน

บั้นปลายของชีวิตพระเจ้าพังคราชได้ไปเจริญสมณธรรมที่วัดปากน้ำคำ ที่เขากำลังซ่อมบำรุงกันอยู่เวลานี้ พระองค์ได้ฌานสมาบัติ เวลาทิวงคตก็ไปเกิดเป็นพรหมชั้นที่ ๑๑ เพราะท่านบอกว่า เวลานั้นยังไม่ได้พระอนาคามี แต่เวลานี้ได้พระอนาคามีแล้ว (พ.ศ.๒๕๒๑) ก็ไม่อยากเลื่อนไปเพราะอยู่ที่นี่ก็สบายดี แต่ปัจจุบันนี้ (ปี พ.ศ.๒๕๒๔) สมเด็จพระเจ้าพังคราชไปนิพพานนานแล้ว

ต่อมาเจ้าชายทุกภิกขะก็เสด็จเสวยราชสมบัติแทนพระราชบิดา และในที่สุดก็ทิวงคตพระเจ้าพรหมมหาราชก็เป็นกษัตริย์ปกครองโยนกนครสืบมา พระองค์ก็เจริญสมณธรรมทรงฌานสมาบัติ เวลาทิวงคตก็ไปเป็นพรหมตามเดิมมีความสุขด้วยอำนาจธรรมปีติ

สวรรคต

จาก หนังสือ เรื่องจริงอิงนิทาน (พิเศษ)

ต่อมาภายหลังลูก ๆ ของพระเจ้าพรหมมหาราชเก่งไม่เท่าพ่อ ก็เลยเสียเอกราชให้แก่ไทยใหญ่ แต่ก็ไทยเหมือนกัน แล้วราชวงศ์เชียงแสนก็ถอยหลังลงมาทางใต้เป็นต้นตระกูลของพระเจ้าอู่ทองที่สร้างกรุงศรีอยุธยา และเวลานี้ราชวงศ์จักรีก็เป็นราชวงศ์ของเชียงแสนอยู่นั่นเอง นี่คนแก่ซึ่งไม่ใช่พ่อนะ ท่านเล่าให้ฟังต่อ ๆ กันมา

พ่อมานั่งนึก ๆ ดูนะว่า พวกเราที่กำลังนั่งรวมกันอยู่นี่ ดีไม่ดีก็จะเกิดในสมัยเชียงแสน หรือสมัยพระเจ้าพังคราชตอนโน้นก็ได้ ดีไม่ดีก็เป็นนักรบบ้าง นักรักบ้าง แล้วก็มานั่งป๋อหลอกันอยู่ที่นี่ก็ได้ใครจะไปรู้ ถ้าเวลานี้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังทรงพระชมน์อยู่หรือว่าบรรดาพระอรหันต์ทั้งหลายที่ท่านชอบซุกซิก เราก็อาจจะถามท่านได้ว่า พวกเราที่กำลังนั่งฟังอยู่เวลานี้เกิดทันสมัยนั้นบ้างหรือเปล่า เป็นนักรบบ้างหรือเปล่า ดีไม่ดีท่านจะชี้หน้าว่าคนนั้นเป็นคนนี้ คนนี้เป็นคนนั้น ๆ เป็นต้น

เรามาพูดกันว่า ทำไมประเทศจึงต้องมีกษัตริย์ คำว่า “กษัตริย์” นี่เขาแปลว่า “นักรบ” กำลังใจของคนไทยทั้งหมดอยู่ที่หัวหน้า ถ้าหัวหน้าขี้แยคนไทยก็ขี้แย ถ้าหัวหน้าเอาจริง ขอให้เอาจริงสักอย่างเดียว คนไทยทั้งชาติจะลุกขึ้นจับดาบสู้ อย่างเช่นเวลานั้นที่พรหมกุมารเป็นหัวหน้านำคนไทย แม้เพียงส่วนน้อย น้อยกว่าขอมมาก ถูกขอย่ำยีอย่างหนัก ต้องแอบซุ่มซ้อมรบกัน เมื่อหัวหน้าเอาจริงเราก็สามารถขับไล่ขอมออกจากเขตไทยได้ แถมขยายอาณาเขตออกไปอีก

ขอย้อนถึงพระเจ้าพรหมมหราชตอนทิวงคต อาศัยกำลังฌานสมาบัติก็ไปเกิดเป็นพรหม คนที่มาจากพรหม หรือจะไปเป็นพรหมได้ ต้องมีกำลังใจเข้มแข็งจากกำลังฌานสมาบัติ เวลาที่มาเกิด คนมาจากพรหมจะมีจริยาไม่เหมือนชาวบ้านชาวเมืองเขา จะรักแต่ความเป็นธรรมอย่างเดียว ถ้า ความอยุติธรรมก็สู้แบบเอาหัวชนฝาเลยทีเดียว เรียกว่า ไม่ยอมขึ้นกับความยุติธรรม

เป็นอันว่าพระเจ้าพรหมมหาราชตายไปเกิดเป็นพรหมตามเดิม เห็นไหมลูก รบกันเกือบตาย ขยายเขตแดนออกไปร่ำรวยกัน เป็นเศรษฐีมหาเศรษฐี เป็นขุนนางผู้ใหญ่ ผลสุดท้ายก็ตายหมด ตายแล้วขนอะไรไปได้บ้าง แม้แต่หนวดเส้นเดียวก็เอาไปไม่ได้

“ที่ลูกรักของพ่อมีความต้องการธรรมะหวังพระนิพพานพ่อพอใจ เราไปนิพพานกันดีกว่านอนสบายให้มันเป็นสุข เราเหนื่อยกันมาแล้วเกินกว่า ๑๖ อสงไขยกับแสนกัป”

พูดแบบนี้ใครจะฟ้องว่าอวดอุตริมนุสธรรมก็เชิญสิพ่อคุณ ถ้าตัวรู้จริงจะฟ้องละก็เชิญทำให้ได้สิทบทวนในการเกิด เวลานี้ขอบอกกันตามตรงว่าไม่ขึ้นกับใครทั้งนั้น ขึ้นกับพระพุทธเจ้าองค์เดียว พวกที่ห่มผ้าเหลืองสักแต่ว่าห่มจะไปยอมขึ้นด้วยเป็นอันขาด เว้นไว้แต่ท่านที่ห่มผ้าเหลืองที่ทรงธรรมะแน่นอน นี่ขอประกาศเด็ดขาดว่า ถ้าขืนใช้อำนาจที่ไม่เป็นธรรมข่มเหงกัน จะได้เห็นดีกันแน่นอน คราวนี้จะได้รู้กันว่าพวกที่ห่มผ้าเหลืองแล้วไม่ทรงศีลไม่ทรงธรรม หลอกลวงชาวบ้าน ชอบยศฐาบรรดาศักดิ์ แต่ก็อย่าลืมนะว่า พวกที่ทรงยศฐาบรรดาศักดิ์ที่ท่านดีก็มีมาก แต่ไอ้ที่เลว ๆ มันก็มีมาก ไอ้พวกเลว ๆ นี่มันชอบกวนใจ สักวันหนึ่งข้างหน้ามันจะได้รู้ ถ้าขืนเข้ามาข่มเหง จะได้รู้ว่าคนพูดนี่เป็นใคร

เป็นอันว่า ตายกันเสียทีพระเจ้าพรหม เวลาในเมืองมนุษย์ผ่านไป ๘๐๐ ปี ท่านก็นอนสบายอยู่ที่พรหม หนีเหนื่อยไป หนีบาปไป ด้วยกำลังของฌานและวิปัสสนาญาณเพราะท่านผู้นี้ทำบาปแล้วก็ทำบุญ เวลาเป็นพระราชาก็ต้องแบ่งเวลาความเป็นพระราชาบ้าง ถ้าไม่แบ่งเวลาไม่ได้ เป็นพระราชาทุกวินาทีก็หายใจไม่ออก มันต้องกระโดดโลดเต้นกันบ้างเป็นธรรมดา ๆ

เวลาผ่านไป ๘๐๐ ปี จากการตายของพระเจ้าพรหมมหาราช ในเวลานั้นขอมมีอำนาจอีกแล้ว มีพระราชาของไทยองค์หนึ่งชื่อ พระยาอภัย หนีขอมจากลำพูน มาถือศีลภาวนาอยู่ในป่าที่เขาหลวงอันเป็นเขตกึ่งกลางระหว่างเชียงใหม่กับศรีสัชนาลัย ท่านมาถือศีลภาวนาทำตายิบ ๆ ยิบ ๆ ที่เขาหลวง เจอสาวชาวป่าสวยผิวขาวสะโอดสะองชื่อ นางนาด หน้าตาดีทรวดทรงน่ารัก เจอเข้าในป่าก็เลยชอบพอกัน สมสู่อยู่ด้วยกัน ๗ วัน ที่เขาหลวงนั่น หลังจากนั้นพระยาอภัยก็กลับไปหวังจะครองอำนาจตามเดิม ก่อนจะไปก็ให้ผ้ากำพลกับพระธำมรงค์ไว้เป็นที่ระลึก ท่านบอกว่า เวลานี้กำลังลำบากจะต้องกลับไปแสวงหาอำนาจ ถ้าได้ครองราชย์เมื่อไรจะกลับมารับ

ต่อมานางนาดเกิดตั้งครรภ์ขึ้นมา คลอดออกมาแล้วเป็นผู้ชายไม่รู้จะเก็บลูกไว้ที่ไหน ก็เอาไปเก็บไว้ที่เขาหลวงนั่น เอาผ้ากำพลกับพระธำมรงค์แขวนไว้ด้วย นี่แหละคนดีของเชียงแสนมาเกิด (คือพระเจ้าพรหมมหาราช จุติจากพรหมมาเกิดเป็นลูกชายของนางนาคกับพระยาอภัยในป่าถูกแม่ทิ้งไว้ที่เขาหลวง แต่ก็มีงูใหญ่แผ่แม่เบี้ยรองรับเด็กน้อยไว้ ท่านบอกเป็นงูพระโพธิสัตว์ ท่านบอกว่ากรรมที่ตีขอมฆ่าขอมระเนระนาด ทำให้เขาพลัดพรากจากกันตายแล้วหนีบาปไปเป็นพรหมด้วยกำลังฌานสมาบัติ กฎของกรรมที่ทำให้เขาพลัดพ่อพลัดแม่ พลัดบ้าน พลัดเมือง พอมาเกิดชาตินี้ที่ไหนได้กลายเป็นถูกแม่ทิ้งไปเสียได้ เอาแล้วอยู่เป็นพรหมสบาย ๆ ไม่พอเสด็จลงมาเกิดอีก ก็จะนอนให้มันสบาย ๆ ไม่เอา นอนไม่ได้ซิ เพราะเวลานั้นไทยป่นปี้อีก หลังจากพระเจ้าพรหมมหาราชตายไปแล้ว ลูก ๆ ดีไม่พอ ไทยก็กลับเป็นทาสของขอมต่อไป เจ้าขอมมันก็ย่ำยีต่อไป

ข้อมูลจาก
http://www.luangporruesi.com/930.html
ถึง
http://www.luangporruesi.com/952.html
..........................................



ประวัติพระเจ้าพรหมมหาราช

ข้อมูลนี้จากหน ังสือ มรดกของพ่อ จัดทำโดยคณะคุณมิตรดา เลิศสุมิตรกุล


ยอกรประนมบังคมบาท พระเจ้าพรหมหาราชผู้เป็นใหญ่
เป็นผู้นำแห่งกองทัพที่เกรียงไกร พาชาวไทยทุกหมู่บ้านต้านพาลา

เครื่องแต่งกายแดงชมพูดูแข็งขัน เข้าประจันโจมจู่ สู้หนักหนา
พระเด็ดเดี่ยว เชี่ยวชาญการยุทธนา ชาวประชาต่างนิยม ชมบารมี

พระทรงเป็น ปฐมกษัตริย์ชูเชิดชาติ ทรงกอบกู้ เอกราช ทรงศักดิ์ศรี
ทรงปลดแอกจากขอมดำที่ย่ำยี ผองชาวไทยสดุดีในวีรกรรม
ผมได้นำเอา 2 บทความที่มีข้อมูลค่อนข้างตรงกันในส่วนของประวัติพระเจ้าพรหมมหาราชมาให้ทุกท่านได้ศึกษากันนะครับ และอีกไม่นานผมจะได้รับเอกสารสำคัญอีกฉบับหนึ่งจากสำนักพิมพ์มติชน ที่มีข้อมูลเกี่ยวพระเจ้าพรหมฯละเอียดที่สุด (ที่ตีพิมพ์ในท้องตลาด) ถ้าเสร็จเรียบร้อยเมื่อไหร่ผมจะได้นำมาเผยแพร่ให้ได้อ่านกันนะครับ.....


ในสมัยโยนกนคร


    พระเจ้าพังคราชบรมกษัตริย์พระองค์เสวยราชสมบัติตั้งแต่อายุ 18 ปี พออายุ ได้ 20 ปี ขอมดำยกทัพมา พระเจ้าพังคราช ได้เตรียมทัพออกรบ เพื่อประวิงเวลาในการให้ เด็ก สตรี และ คนชรา หลบหนี พร้อมทั้งเตรียมขนย้ายทรัพย์สมบัติไปซ่อนไว้ แถวดอยตุงบ้าง แม่ส ายบ้าง การรบครั้งแรก ก็ได้ ปะทะกับทัพหน้า ของขอมดำ พระเจ้าพังคราชก็มีชัยชนะ แต่พอทัพหลวงทัพซ้ายทัพขวาของขอมดำมา ถึงซึ่งกำลังพลมากกว่าเรากว่า 4 เท่า ในที่สุดพระเจ้าพังคราช ก็ยอมแพ้ เมื่อเห็นว่า ผู้คนที่ให้หลบหนีไป ปลอดภัยแล้ว
เจ้าขอมดำเมื่อมีชัยชนะ ได้จับพระเจ้าพังคราช ไปพิจารณาโทษ แต่มีอำมาตย์ของขอมดำชื่อ พันจาม เป็นแม่ทัพคนสำคัญ ได้กราบทูลเจ้าขอมดำว่า "พระเจ้าพังคราชไม่มีความผิด เพราะ ไม่ได้ยกทัพตีเรา แต่เรายกทัพมาตีเขา ถ้าจะฆ่าพระเจ้าพังคราช ก็ผิดความมุ่งหมายไปมาก เพราะ เราต้องการพื้นที่ควร จะส่งพระเจ้าพังคราชไปอยู่ที่ วังสีทอง อยู่ทางแม่สาย ให้เนื้อที่อยู่อาศัย
ประมาณแสนไร่ และให้ส่งส่วย เป็นทองคำปีละ 20 ชั่ง"
เมื่อพระเจ้าพังคราช และประชาชนคนไทยถูกต้อนไปอยู่ยังวังสีทอง ความเจ็บปวดแสนสาหัส ความทุกข์ ทรมานที่ถูกขอมดำย่ำยี อย่างโหดร้าย ลูกใคร เมียใคร ที่มันต้องการ มันจะบังคับเอาตามอำเภอใจของ มัน หรือจะฆ่าจะทำร้ายใครก็ทำได้ เพราะ เป็นนโยบายของเจ้าขอมดำที่จะกำจัดคนไทยให้หมดภูมิภาคนี้
เวลาผ่านไป พระมเหสีของพระเจ้าพังราช ทรงพระครรภ์ และคลอดพระราชโอรส ให้นามว่า ทุกภิกข แปลว่า เกิดมาในท่ามกลางความทุกข์ เพราะ คนไทยในขณะนั้น ต้องอยู่อย่างอดทน ต่างก็ช่วยกันทำมา หากินพร้อมกับออกไปร่อนทอง เพื่อเป็นส่วนส่งให้ขอมดำ แม้แต่พระเจ้าพังคราชก็เสด็จไปร่อนทองด้วย
คนไทยซึ่งมีความเคารพใน พระพุทธศาสนา มากมีความเมตตาเป็นปกติ แต่ต้องมาทนทุกข์ทรมานมี ความอดยากลำบากยิ่ง ทั้งยังถูกขอมดำกดขี่ขมเหง แต่คนไทยยัง มีการไหว้พระ มีการภาวนา และ เจริญพระกรรมฐานเป็นปกติ ท้าวโกสีสักเทวราช คือ พระอินทร์ ทราบว่า กรรมเก่าของพระเจ้าพังค ราช และราษฎรคนไทยได้สลายตัวแล้ว จึงแปลงกายเป็นเด็กอายุประมาณ 12 ปี เดินมาจากป่าตรงไปหา พระเจ้าพังคราช ทีแรกบรรดาประชาชนก็กันไว้ แต่พระเจ้าพังคราชบอกว่าอย่ากัน "จะเป็นใครมาจาก ไหนก็ตามเราถือว่า เป็นคนเหมือนกัน เราจะต้องอยู่ร่วมกันได้" แล้วเด็กคนนั้นก็เข้าไปหาพระ เจ้าพังคราชแนะนำวิธีทำทอง โดยบอกส่วนผสม ที่ใช้ในการหลอมทำทอง คือ แร่เพรียงไฟ ดีบุก แร่ทอง แดง สารปากนกแก้ว และสารอีกชนิดหนึ่ง (ขอปิดไว้) พร้อมบอก สถานที่มีสารแร่เหล่านี้ และทำให้ดูเป็น ตัวอย่าง จะได้ทองคำ 100%
หลังจากนั้นพระเจ้าพังคราช และราษฎรคนไทยก็มีความเป็นอยู่ดีขึ้น
ผ่านไป 3 ปี ในขณะนั้น "ท้าวผกาพรหม" ได้ไปเรียก "สัพเกศีพรหม" บอกว่า ขณะนี้คนไทยลำบากอยู่ ท่านจะมาเสวยสุข อยู่เฉพาะผู้เดียว โดยไม่เหลียวแลคนไทยที่อยู่ข้างหลังไม่เป็นการสมควร ท่านควรจะ ลงไปเกิดเป็นลูกชายพระเจ้าพังคราช แล้วช่วยกู้ชาติไทย ให้ปลอดภัยจากความเป็นทาส
หลังจากนั้น ท้าวผกาพรหมก็ประกาศว่า มีพรหมองค์ใดที่นับถือ พระพุทธศาสนา เคยเกิดเป็นคนไทยมา ก่อนจะลงไปช่วยคนไทย ก็มีพรหมอีก 250 องค์ลงไปเกิดพร้อมๆกันเป็นสหชาติ และมีพรหมอีก 3 องค์ บอกว่าจะมาช่วยไปเกิดเป็นช้างคู่บารมี ต่อมา สัพเกศีพรหม พร้อมด้วยพรหมอีก 250 องค์ ก็ได้มาเกิด พร้อมกันทุกองค์ ต่างมีรูปร่างผิวพรรณ สวยงามมาก เพราะต่างก็มาจากพรหม โอรสพระเจ้าพังคราชมีนามว่า "พรหมกุมาร" หลังจากพรหม กุมาร และ สหชาติทั้ง 250 ได้มาเกิด ความอุดมสมบูรณ์ ก็ปรากฎแก่ประชาชนชาวไทย และ พวกขอม ดำก็ลดตัวในการข่มเหงคนไทยลง เพราะคนไทยเกิดความแข็งแกร่งในจิต ในวัยเด็กพรหมกุมาร และสหชาติได้เป็นเพื่อเล่นกัน ที่โปรดปรานมาก คือ การเล่นสงครามการฝึกอาวุธ สร้างอาวุธ ขี่ม้า เป็นต้น
เมื่อพรหมกุมารอายุได้ 12 ปี คืนหนึ่งได้ฝันว่า วันรุ่งขึ้น ให้ไปที่แม่น้ำโขงจะมีช้าง 3 เชือก ถ้าจับช้าง เชือกที่หนึ่งได้ จะได้เป็นจ้าวโลก ถ้าจับช้างเชือกที่สองได้ จะปราบชมพูทวีปได้หมด ถ้า จับช้างเชือกที่สามได้จะปราบขอมได้หมด
พอตื่นเช้าขึ้นมา พรหมกุมารก็กราบทูลให้พระราชบิดาทราบ พระบิดาจึงอนุญาตให้ไปดักช้างได้ ในตอน สายของวันนั้น พรหมกุมารและสหชาติ ได้ไปดักจับช้างตามที่ฝัน แทนที่จะเห็นช้างกลับ เป็นงูหงอนแดง ตัวใหญ่ขาวโพลน ก็ปล่อยไป ตัวที่สองก็เป็นงูหงอนแดงอีก และได้ปล่อยไปอีกรออยู่พักหนึ่งพรหมกุมารจึงให้สหชาติช่วยกันจับพอโดดขึ้นจับคองูหงอนแดงก็กลายเป็นช้างเผือกขาวโพลนเดินทวนน้ำมาได้ทั้งๆ ที่น้ำไหลหลากมาก แต่ช้างไม่ยอมขึ้นฝั่ง
พรหมกุมารจึงให้สหชาติไปกราบทูลพระราชบิดา ให้ทรงทราบ พระเจ้าพังคราชจึงให้โหรทำนายโหรได้ บอกว่า ต้องเอากระพังทองไปตีล่อจึงขึ้นมา
ในที่สุดพรหมกุมารก็ได้ช้างพลายประกายแก้ว มีความสวยงดงามมากมีสีขาวเป็นประกายคล้ายแก้วการ เลี้ยงดูก็ปล่อยเป็นอิสระ ช้างพลายประกายแก้วจะไปไหน จะเข้าป่า ก็ไม่มีสัตว์ตัวใดกล้า ทำร้าย ช้างป่าก็ เข้ามาเป็นบริวารมากมายโดยไม่ต้องไปต่อหรือไปดึงมา
เมื่อพรหมกุมารอายุได้ 16 ปี พระเจ้าพังคราชให้แต่งงานมีภรรยา ต่อมา พรหมกุมารกราบทูลพระราชบิ ดาว่า "ต่อไปนี้เราจะไม่เป็นผู้แพ้ ดินแดนของเราอยู่เพียงไหน เราจะยึดเอามาให้หมด แล้ว
จะยึดพื้นที่อีกไม่น้อยกว่า 4 เท่า"
พรหมกุมารก็เริ่มสะสมอาวุธ ฝึกการรบ เตรียมไพร่พล เพื่อกู้เอกราช เมื่อเตรียมการเสร็จก็ได้งดส่งส่วย ให้ขอมดำ เมื่อขอมคำรู้ว่า คนไทยงดส่งส่วย แสดงว่า แข็งเมือง จึงยกทัพมาตี ฝ่ายไทยเตรียมพร้อมอยู่
แล้วจึงจัดทัพออกไปรบทันที
การรบแม้ไทยมีกำลังน้อยกว่าถึง 4 เท่าแต่การรบครั้งนี้ กำลังใจของคนไทยแข็งแกร่งมากเพราะการรบ ครั้ง นี้ รบเพื่อหวังประโยชน์สองอย่าง คือ
1.รบเพื่อหวังอิสระภาพ ไทยต้องเป็นไท
2.รบเพื่อขับไล่ขอมดำให้ออกไปนอกเขตไทย ในที่สุด พรหมกุมาร และสหชาติ ใช้กลยุทธต่าง ๆ ในการรบ จนสามารถขับไล่ขอมออกไปจากเขตแดน ไทยได้ แต่ในการไปตีเมืองขอม
ภรรยาของพรหมกุมาร ซึ่งได้ออกรบด้วย ได้ถูกขอมฆ่าเสียชีวิต ทำให้ พรหมกุมารโกรธแค้นขอมมาก ได้ไล่ล่าฆ่าขอมเป็นเวลา 3 วัน 3 คืน จึงหยุดพักทหารแล้วจึงเคลื่อนทัพ ไล่ฆ่าขอมต่อขึ้นชื่อว่าขอมจะต้องไม่มีชีวิตอยู่ ไล่ไปจนถึงเมืองกำแพงเพชร
พระอินทร์เห็นว่า ถ้าปล่อยให้ฆ่าต่อไป จะบาปมากเกินไป จึงให้ท่าน วิษณุกรรมเทพบุตร มาทำให้ทหาร หมดกำลัง และสร้างกำแพงแก้วกั้นทัพของพรหมกุมารไว้ ซึ่งพรหมกุมารเอง ก็คิดว่า
การเก็บล้างขอมก็ ยากแล้วแค่นี้ก็พอ และเจ้าเมืองกำแพงเพชร ก็ไม่ต้องการจะทำศึกจึงได้ยกพระธิดา ให้สมรสกับ พรหม กุมาร
ในขณะที่ทำศึก พรหมกุมาร ก็ได้กราบทูลพระราชบิดา ขอเป็นกษัตรย์ชั่วคราว เพื่อสะดวกในการออกคำ สั่งเมื่อเสร็จศึก พรหมกุมารจึงได้เชิญพระราชบิดา ขึ้นเสวยราชสมบัติ ให้พี่ชาย คือ เจ้าชายทุกภิกขเป็น อุปราช ส่วนพรหมกุมารอยู่รักษาเมืองกำแพงเพชรรวมทั้งหมดที่พระเจ้าพังคราชเป็นทาสขอมดำ 22 ปี
ต่อมาพระพุฒโฆษาจารย์ ซึ่งเป็นไทยใหญ่ ท่านได้นำพระไตรปิฎก และพระบรมสารีริกธาตุมาถวายพระ เจ้าพังคราช พระองค์ได้ให้โอรสทั้งสององค์ ร่วมกันบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ บนดอยน้อย คือ พระธาตุ จอมกิตติ แล้วสร้างเจดีย์ โดยใช้แผ่นทองคำ หุ้มองค์เจดีย์ เวลาต่อมาพระเจ้า ผาเมือง ทรงสร้างเจดีย์ องค์ใหญ่ทับไว้อีกชั้น
สมเด็จพระพุฒโฆษาจารย์ ท่านได้ชี้จุดบนดอยน้อย ว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาประทับ ณ ที่ นี้ทรงอธิษฐาน ให้เส้นพระเกศาของพระองค์ หลุดติดพระหัตถ์มา 3 เส้น เมื่อทรงเสยเกษา
แล้วพระพุทธ องค์ทรงฝังเส้นพระเกศา โดยการอธิษฐานให้จมลงไปบนดอยน้อยนั้น แล้วทรงพยากรณ์ว่า "เขตแดนนี้ ต่อไปจะมีนามว่า โยนกนคร จะมีความเจริญรุ่งเรืองมาก จะสามารถรักษา พระพุทธศาสนา ไว้ได้ครบ 5,000 ปี" พรหมกุมารก็ได้เสวยราชสมบัติต่อจากเจ้าชายทุกภิกข มีพระนามว่า พระเจ้าพรหมมหาราช ปกครอง โยนกนครสืบมา พระองค์ก็เจริญพระกรรมฐาน ทรงฌาณสมบัติ เมื่อทรงทิวงคตก็ไปเป็นพรหมตามเดิม
การอยู่เป็นพรหม ของสัพเกศีพรหม ไม่ได้อยู่เป็นพรหมตลอดกาล ท่านลงมาเกิดบ่อนครั้ง เมื่อยามใดที่ คนไทยก็ดี ชาติไทยก็ดี มีความลำบากมีความเดือดร้อน หรือถูกย่ำยีจากศรัตรู ท่านจะต้องลงมาเกิดเพื่อ
ช่วยเหลือคนไทย และชาติไทยเสมอ จนถึงปัจจุบัน ดังเช่นการมาเกิดของท่าน แต่ละวาระ เช่น
สมัยพระเจ้ามังรายมหาราช
เณรน้อยที่ถูกขอมยำยี
พระเจ้าพรหมมหาราช (สมัยโยนกนคร)
พระร่วงโรจน์ฤทธิ์ (สมัยละโว้)
ขุนศรีเมืองมาน
ขุนหลวงพระงั่ว (สมัยพ่อขุนรามกำแหง)
นายอำไพ ลูกชายเศรษฐีกองแก้วและปิ่นทอง
ลูกชายแม่ทัพ ของสมเด็จพระอินทราธิราช
ขุนแผน ลูกขุนไกร
พระบรมไตรโลกนาถ
พระยาโกษาเหล็ก
พระยาศรีสิทธิสงคราม ขุนดาบพระเจ้าตากสิน


ข้อมูลนี้จากหนังสือ วันสวรรคตของ 66 กษัตริย์ โดย พิมาน แจ่มจรัส
    ปฐมพงศ์พรหมเจ้า
รวมเหล่านิกรไทย
ขับขอมประลาตไป
"โยกนกนาคนคร"แคล้ว
    ทรงธรรมดำริสร้าง
"ไชยปราการ"เพื่อราษฏร
เป็นถิ่นสถิตถาวร
เฉลิมพระยศปรากฏตั้ง
จอมไทย
แกว่นแกล้ว
จากเขต
คลาดพ้นภัยมหันต์
นคร
อยู่ยั้ง
เกษมสวัสดิ์
แต่นั้นสืบมา


".....ราตรีจักใกล้รุ่ง นางก็เห็นในนิมิตฝันว่ายังมีช้างเผือกตนหนึ่ง มายืนอยู่ยังบริเวณบ้านที่นั้นก็ผ่านเวียงล่องไปทางใต้ ครั้นพ้นเวียงแล้วก็ไปไล่กวดแทงคนทั้งหลายแตกตื่น แล้วนางก็สะดุ้งขึ้นตกใจกลัว นางก็ไปเล่าให้เจ้าตนเป็นสามีฟังทุกประการ ครั้นว่าพระยาได้ยินคำแล้วก็รำพึงกล่าวว่า สัตว์ตัวมีบุญจักมาเกิดในท้องแห่งนางพึงมีฉะนั้นแล นางจงรักษาครรภ์แห่งนางให้ดีเทอญ ว่าดังนั้นแล้วนางก็ทรงครรภ์แต่นั้นไปถึง 7 เดือน ดั่งนั้น นางก็มักได้เครื่องศาสตราวุธทั้งหลายก็จึ่งไปไหว้ขอพระยาตนเป็นผัวให้เอาช่างเหล็กมาแปลงเครื่องทั้งหลาย ส่วนพระยาตนเป็นผัวก็กระทำตามคำแห่งนาง เอาช่างเหล็กทั้งหลายมาตีแปลงเครื่องศาสตราวุธทั้งหลาย เป็นต้นว่า ดาบตาว และหอกซัดสีนาด ปืนไฟ ทั้งมวลแล้วแต่นั้น 7 เดือน นางก็อยากกินยังเลือดขอมดำติดคมดาบ...."
ที่พรรณาข้อความตอนทรงครรภ์มามากมายเช่นนี้ คงต้องการเสริมอภินิหารมากกว่าอย่างอื่น ตำนานต้องการจะชี้ให้เห็นว่า บุคคลลงจะเป็นนักรบแล้ว ย่อมมีเหตุย่อมมีลาง
"....ยามรุ่งแจ้ง ครรภ์นางเต็มทศมาสได้ 10 เดือนแล้ว นางก็ประสูติได้ลูกชายผู้หนึ่งเกิดมาวีวรรณเนื้อตนอันหมดจดหามลทินมิได้ เป็นดั่งล้างไว้สะอาดแล้ว ครั้งนั้นญาติทั้งหลายฝูงอันมีอยู่ในบ้านศรีทองนั้น และเสนาอำมาตย์พรามหมณ์ปุโรหิตก็มารับเอาแล้วเบิกบายนามกร เอานิมิตอันนามเหนือนดั่งพรหมมาเกิดนั้นจึ่งใส่ชื่อว่า พรหมกุมาร นั้นแล แต่นั้นไปภายหน้า พรหมกุมารก็ขึ้นใหญ่มาได้ 7 ปี หาพญาธิโรคามิได้ กุมารก็มีใจใคร่ได้ยังเครื่องศาสตราวุธทั้งหลาย ก็เข้าไปอ้อนวอนขอยังพระราชบิดา ให้เอาช่างเหล็กทั้งหลายมาแปงแล กาลนั้นพระยาตนพ่อก็กระทำตามคำลูกแห่งตนทุกประการ เอาช่างทั้งหลายมาตีหอกดาบสีนาด ปืนไฟทั้งมวลทุกปีบ่อมิได้ขาด ตลอดถึงอายุกุมารได้ 12 ขวบแล้ว...."
ต่อจากนั้น ก็มีการบรรยายความฝันของพระเจ้าพรหมว่าได้ไปยังแม่น้ำ ซึ่งจะมีช้างเผือก 3 ตัวลอยน้ำมา ถ้าได้ตัวแรกก็จะได้ปราบทวีปทั้ง 4 ถ้าได้ตัวสองก็จะได้ชมพูทวีป และถ้าได้ตัวที่สามก็จะได้แคว้นล้านนาและขอมดำทั้งหมด พรหมกุมารเมื่อตื่นจากฝัน ก็ชักชวนเด็ก ๆ ไปเป็นเพื่อนถึง 50 คน ตัดเอาขอนไม้ไปนั่งคอยอยู่ริมน้ำ ต่อมามีงูใหญ่ตัวหนึ่งลอยผ่านมา พรหมกุมารและพรรคพวกซึ่งนั่งคอยทีก็สะดุ้งตกใจกลัว จนงูใหญ่นั้นพ้นไป ต่อมามีงูใหญ่อีกตัวหนึ่งเท่าต้นตาลลอยผ่านมาอีก พรหมกุมารและพวกเด็ก ๆ ก็พากันสะดุ้งหวาดกลัวอีก จนงูใหญ่นั้นลับตาไป
คราวนี้พรหมกุมารได้คิดว่าที่ฝันว่าช้างเผือกนั้น คงจะเป็นงูเสียมากกว่าจึงปรึกษาพรรคพวก แล้วตกลงกันว่าถ้ามีงูใหญ่ผ่านมาอีกตัวหนึ่งก็จะช่วยกันจับ
ต่อมาอีกครู่หนึ่ง งูตัวที่สามก็ผ่านมา พรหมกุมารและเด็กทั้ง 50 คนก็ช่วยกันจับไว้ได้ งูก็กลายเป็นช้างเผือกขึ้นมาทันที สถานที่ช้างทวนน้ำเรียกกันว่าความทน และช้างตัวนั้นก็ได้นามว่า ช้างพานคำ
หลังจากนั้น พรหมกุมารก็ส่งคนไปสืบความลับทางเมืองขอมดำ ส่วนทางพระองค์เองนั้น โปรดให้มีการฝึกกำลังรบ และหัดช้างมงคลตัวนั้นตลอดมา จวบจนมีพระชนมายุ 16 พรรษา ก็ดำรัสสั่งมิให้ส่งส่วยแก่พระยาขอมดำเป็นเวลาถึงสามปี
พระยาขอมดำจึงดำรัสสั่งให้ระดมพลด่วน ข่าวนี้ทราบมาถึงพรหมกุมาร จึงรวบรวมพลไว้ประมาณหนึ่งแสนคน ยกออกจากเวียงพานคำ ไปประจันหน้ากับทัพขอมที่กลางทุ่งสันทราย
"....ครั้งนั้น พระยาขอมดำปรารถนาจักต่อรบกับพรหมกุมาร ก็ไปทันรบช้างที่นั่น พระยาขอมดำนั้นก็เห็นช้างมงคลพานคำในที่นั้น อันพรหมกุมารเจ้าขี่อยู่นั้น พระยาขอมดำก็มีความสะดุ้งตกใจหวั่นไปทั้งตัว แล้วก็หันหน้ากลับด้นวิ่งไปครั้งนั้น หมู่ช้างแห่งพระยาขอมดำทั้งหลายก็แตกตื่นเหยียมย่ำหัวขอมดำทั้งหลายตายมากนัก แตกกระจัดกระจายพ่ายหนีไปสู่เสียง ส่วนพระเจ้าพรหมกุมารก็ขี่ช้างพาคนหาญเลยไปกำจัดขอม ใปตลอดถึงเวียงโยนกนครนั้นแล พระยาขอมดำก็พาลูกน้องเข้าไปในเวียง แล้วปิดประตูเวียงเสียทุกแห่ง ครั้นพรหมกุมารเจ้าก็ไสช้างพานคำเข้าแทงประตูเวียงทะลุ เข้าไปกำจัดขับไล่พระยาขอมในเวียงที่นั้น ผู้คนบ่าวไพร่แห่งพระยาขอมดำก็ฉิบหายตายมากนักแล...."
พระเจ้าพังก็เสด็จขึ้นครองเมืองโยนกนครตามเดิม แล้วโปรดให้พรหมกุมารเป็นอุปราช แต่พรหมกุมารมิได้รับกลับมอบให้ทุกขิตผู้เป็นเชษฐา ส่วนพระองค์กลับเสด็จไปสร้างเมืองใหม่ตั้งชื่อว่า เวียงไชยปราการ (ปัจจุบันเป็นอ.ฝาง จ.เชียงใหม่)
ท่านผู้รู้บางท่านจึงยกย่องพรหมกุมารว่าเป็นปฐมกษัตรติย์ของไทย เป็นพระมหากษัตริย์ไทยองค์แรกที่ทรงสถาปนาอาณาจักรไทยขึ้นใน พ.ศ. 1400 และเป็นมหาราชพระองค์แรกของชาติไทย
หลังจากพระเจ้าพังสิ้นพระชนม์แล้ว เจ้าทุกขิตโอรสก็ได้ราชสมบัติ เมื่อพระยาทุกขิตสิ้นพระชนม์ พระองค์มหาวรรณก็ได้ราชสมบัติ ส่วนพระเจ้าพรหมก็ทรงครองเวียงไชยปราการต่อไป กษัตริย์โยนกจึงแยกเป็น 2 สายตั้งแต่นั้นมา พระเจ้าพรหมเสวยราชย์ในเวียงไชยปราการจนพระชนมายุได้ 77 พรรษาก็สิ้นพระชนม์



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น