บรรพบุรุษของคนไทยในอดีต ๓๗ รัชกาล
พระมหาวีระ ถาวโร (ฤาษีลิงดำ)
วัดจันทาราม (ท่าซุง อ.เมือง จ.อุทัยธานี)
จาก หนังสือ เรื่องจริงอิงนิทาน (พิเศษ)
เราเริ่มกันสมัยพระราชา ทรงพระนามว่า พันนะติ หรือ พระเจ้าละวะจักราช ใช่หรือไม่ก็ไม่ทราบ ทรงเสวยพระราชย์อยู่ในเขตเชียงแสนนี่ใช้เวลาเสวยราชย์ ๒๙ ปี ก็สวรรคต ท่านเป็นพระราชบิดาของพระอชุตราช เมื่อพระราชบิดาสวรรคตแล้ว พระเจ้าอชุตราช มีพระชนมายุได้ ๒๐ ปี ก็เสวยราชย์ต่อ
พระเจ้าอชุตราชเสวยราชสมบัติมาจนอายุ ๑๒๐ ปี องค์นี้เป็นพระราชามาถึง ๑๐๐ ปี โอ้โฮต้องคิดนะลูกนะ ๑๐๐ ปี นี่น่าจะมีขบถไหม จะมีการโจมตีกระแนะกระแหนกันไหม เปล่าเลย ไม่มีนะ หลังจากพระเจ้าอชุตราช เสวยราชสมบัติมา ๑๐๐ ปี พอดี เป็นอันว่าพระเจ้าอชุตราชทรงมีพระชนมายุทันพระพุทธเจ้า ๒๐ ปี เห็นไหมลูกรัก อันนี้ พ่อถือว่าเป็นประวัติศาสตร์ที่แน่นอน พ.ศ. นี่ เพราะว่าเป็น พ.ศ. ผี ต่อมาเมื่อพระเจ้าอชุตราชสวรรคตแล้ว พระเจ้ามังรายพระราชโอรสก็เสวยราชสมบัติแทน
พระเจ้ามังรายมหาราชก็เป็นรัชกาลที่ ๒ เสวยราชสมบัติ ตอนนี้ท่านมาบอกว่ามีพระอรหันต์ นามว่า "วชิระ" นำพระบรมสารีริกธาตุมาถวาย ๑๕๐ องค์ มาพร้อมกับพระอรหันต์ ๕๐๐ รูป พระเจ้ามังรายมหาราชเสวยราชสมบัติได้ ๓๗ ปี อายุของท่านได้ ๘๙ ปี ก็สวรรคต รู้สึกว่า อายุยืนมาก ไม่ยักมีขบถ
ต่อมาเป็นรัชกาลที่ ๓ เป็นรัชกาลที่คุดในประวัติศาสตร์ เวลาที่พ่อพูดนี่ ท่านบอกว่า เขาเขียนคุดไว้ เขาเขียนไว้ที่ไหนบ้าง พ่อก็ไม่รู้ ตรงหรือไม่ตรงอย่าถือเป็นหลักฐานสำคัญ เราถือเอาธรรมะ คือเรื่องตาย ๆ เกิด ๆ เป็นสำคัญ แต่พ่อพูดไว้ให้ฟัง เพื่อจะให้ลูกรู้ว่า ชีวิตของคนน่ะมันเป็นของไม่เที่ยง อย่าเมาในชีวิต จงอย่าคิดว่าเราไม่ตาย ถ้าเราคิดว่าเราไม่ตายละก็เสียท่า
เป็นอันว่าเมื่อพระเจ้ามังรายมหาราชสวรรคตแล้ว พระราชโอรสชื่อว่า พระองค์เชียง เสวยราชสมบัติ เป็นรัชกาลที่ ๓ อยู่ ๓๑ ปี และมีอายุ ๘๙ ปี เท่าพ่อก็สวรรคตตายอีกเห็นไหมลูกเกิดแล้วก็ตาย เป็นกษัตริย์ก็ตาย ใหญ่ก็ตาย เล็กก็ตาย
รัชกาลที่ ๔ มีพระนามว่า "พระองค์ชิน" ราชโอรสเสวยราชสมบัติได้ ๒๐ ปี มีพระชนมายุ ๘๐ ปี สวรรคต แหม ตอนนี้ไม่ยักมีใครขบถนะ
ถ้าเป็นเวลานี้หนังสือพิมพ์คงโจมตี ว่าดีอย่างนั้น เสียแบบนี้ ทำดีแค่โน้น ทำดีแค่นี้ ทีตัวเองทำให้ประเทศชาติฉิบหายละก็ไม่ได้ดูละ ดีแต่กระแหนะกระแหนว่าคนนั้นว่าคนนี้ คนเรานะควรเอากระจกเงาส่องหน้าไว้บ้าง
รัชกาลที่ ๕ ท่านกล่าวว่า พระราชาทรงพระนามว่า "คำตน" มีอายุ ๕๘ ปี เสวยราชสมบัติได้ ๗ ปี ก็สวรรคต
รัชกาลที่ ๖ พระราชาทรงพระนามว่า "องค์กิงตน" เสวยราชสมบัติได้ ๕๖ ปี ก็สวรรคต อายุเท่าไรท่านไม่ได้บอก
รัชกาลที่ ๗ พระราชาทรงพระนามว่า "พระองค์กิงกีราช" เสวยราชสมบัติได้ ๖๕ ปี องค์นี้มีอายุ ๑๐๐ ปี จึงสวรรคต เป็นพระราชโอรส คือเป็นลูกกันต่อ ๆ มา
รัชกาลที่ ๘ พระราชาทรงพระนามว่า "พระชาติตน" เป็นราชโอรสสืบสันติวงศ์ต่อมาเสวยราชย์ได้ ๒๐ ปี และมีอายุ ๗๑ ปี
รัชกาลที่ ๙ พระราชาทรงพระนามว่า "พระเจ้าเว้าตน" เริ่มเสวยราชย์เมื่ออายุ ๖๒ ปี เสวยราชย์ได้ ๑๙ ปี คือมีอายุได้ ๘๑ ปี ก็สวรรคต
รัชกาลที่ ๑๐ พระราชาทรงพระนามว่า "พระเจ้าแว่นตน" ราชโอรสเริ่มเสวยราชย์ เมื่ออายุได้ ๖๓ ปี เสวยราชย์ได้ ๑๗ ปี คืออายุ ๘๐ ปี ก็สวรรคต
รัชกาลที่ ๑๑ พระราชาพระนามว่า "พระเจ้าแก้วตน" ราชโอรสองค์ก่อน เสวยราชย์ เมื่ออายุ ๕๘ ปี เสวยราชย์ได้ ๑๕ ปี มีอายุ ๗๒ ปี ก็สวรรคต
ไม่เห็นมีใครอยู่สักคน ตายกันหมด พ่อพูดมานี่ลูกเห็นไหม ดูตามไปนะว่าพระราชาแต่ละองค์ รูปร่างท่านเป็นอย่างไร เวลาท่านเสวยราชย์ ท่านทำอย่างไรบ้าง ท่านก็คลุกคลีตีโมงแบบพ่อคนนั่นแหละ ถ้าจะเทียบ ๆ กันไปก็คล้าย ๆ รัชกาลที่ ๙ เราปัจจุบัน แต่ต่างกันอยู่นิดที่สมัยนั้น ใช้เดินไปนั่งคุยกัน เวลานี้เรื่องกฎหมาย เรื่องระเบียบประเพณี เขาเขียนไว้มากเกินไป อย่างพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๙ ท่านต้องการอย่างสมัยก่อน เราจะเห็นว่าท่านคลุกคลีตีโมง แต่เครื่องแบบนี้เขาบังคับ สมัยก่อนเครื่องแบบไม่บังคับ กษัตริย์ไปไหนบางทีนุ่งกางเกง ใส่เสื้อ บางทีก็ไม่เสื้อ เอาผ้าขาวม้าผืนหนึ่งห่มเป็นสไบเฉียงบ้าง พาดไหล่บ้าง เดินไปคุยกับคนโน้นคนนี้ เป็นแบบกันเอง ปกครองกันแบบสบาย ๆ
รัชกาลที่ ๑๓ พระราชาทรงพระนามว่า "พระองค์เงิน" ซึ่งเป็นราชโอรส เริ่มเสวยราชย์เมื่ออายุ ๕๖ ปี เสวยราชย์มาได้ ๑๕ ปี คือมีอายุได้ ๗๑ ปีก็สวรรคต
รัชกาลที่ ๑๔ พระราชาทรงพระนามว่า "พระองค์แว่นตน" ราชโอรส เสวยราชย์เมื่ออายุ ๕๒ ปี เสวยราชย์มาได้ ๑๖ ปี อายุได้ ๖๘ ปีก็สวรรคต องค์นี้อายุน้อยหน่อย
รัชกาลที่ ๑๕ พระราชาทรงพระนามว่า "พระองค์งามตน" เป็นราชโอรสสืบต่อมา เสวยราชย์เมื่ออายุ ๕๐ ปี เสวยราชย์มาได้ ๓๓ ปี อายุได้ ๘๓ ปี ก็สวรรคต
รัชกาลที่ ๑๖ เป็นราชโอรสองค์ก่อนทรงพระนามว่า "พระองค์ลือตน" อายุ ๖๖ ปี เสวยราชย์ได้ ๑๕ ปี พออายุ ๗๑ ปี ก็สวรรคต
รัชกาลที่ ๑๗ "พระองค์ชินตน" เสวยราชย์เมื่ออายุ ๕๒ ปี เสวยราชย์ได้ ๑๖ ปี พออายุ ๗๘ ปี ก็สวรรคต
รัชกาลที่ ๑๘ พระราชาทรงพระนามว่า "พระองค์พันตน" อายุ ๕๖ ปี เสวยราชย์ ๑๖ ปี อายุ ๗๒ ปีก็สวรรคต
ลูกดูเถอะว่าพระราชาแต่ละองค์ มีความเป็นอยู่ไม่นานก็ตาย แต่พระราชจริยาวัตรของพระองค์น่ะเป็นกันเองกับบรรดาประชาชน แหม พ่ออยากจะพูดอะไรสักนิดอย่างผู้แทนราษฎรนี่ไม่ได้เป็นพระราชา แต่อีตอนอยากจะเป็นผู้แทนนี่ แหม พินอบพิเทาอยากจะรับใช้ประชาชน แต่พอได้เป็นผู้แทนแล้วเท่านั้นแหละ ลืมตน กลายเป็นจอมชีวิตของปวงชนไป นี่มันเสียตรงนี้นะลูกนะ
ฟังกันต่อไป รัชกาลที่ ๑๙ ทรงพระนามว่า "พระองค์เกลาตน" พระราชโอรสของพระราชาองค์ก่อน อายุ ๕๖ ปี ก็เสวยราชสมบัติได้ ๑๗ ปี อายุ ๗๓ ปี ก็สวรรคต
รัชกาลที่ ๒๐ พระราชาทรงพระนามว่า "พระองค์พิงตน" พระราชโอรสขององค์ก่อนอายุ ๕๒ ปี เสวยราชย์ได้ ๑๙ ปี อายุ ๗๑ ปี ก็สวรรคต
รัชกาลที่ ๒๑ พระราชาทรงพระนามว่า "ศรีตน" พระราชโอรสขององค์ก่อน อายุ ๕๔ ปี เสวยราชสมบัติได้ ๑๗ ปี อายุ ๗๑ ปี ก็สวรรคต
...................................................
คำสั่งของพ่อ
นี่พ่อฟังมาแล้วก็พูดไป ขอลูกใช้ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ และอตีตังสญาณ เข้าไปดูว่าพระราชาแต่ละองค์ ๆ น่ะ เวลานั้น ท่านทำกันยังไงลูก เวลาที่จะออกขุนนางเวลาที่จะนั่งบังลังก์ท่านก็แต่งตัวโก้ พระราชฐานก็ทำด้วยไม้ เวลายามปกติท่านก็เดินไปเดินมา แต่งตัวสีสดบ้าง สีมัวบ้าง ดีไม่ดีก็เดินเอาผ้าขาวม้าพาดไหล่ไม่มีเสื้อไปเยี่ยมชาวไร่ ชาวนา คุยกับคนโน้น คนนี้ แนะนำคนนั้น แนะนำคนนี้ เป็นกันเองทุกอย่าง มีความหวังดี ไม่เอาเปรียบใคร
ลูกอย่าลืมนะว่า โลกนี้มันเป็นอนิจจังนะลูกรัก ในสมัยนั้น ๆ ลูกเกิดบ้างหรือเปล่า จากนั้นมาถึงนี่ ลูกเกิดมาแล้วกี่วาระ ถอยหลังชาติไปแล้ว ทำลายความรู้สึกมันเสียนะลูกรักนะอย่าสนใจกับความเกิดต่อไป อะไรบ้างเล่าเป็นของดี
"ราคัคคิ ไฟ คือ ราคะ โทคัสคิ ไฟ คือ โทสะ โมหัคคิ ไฟ คือ โมหะ อย่าให้มันมาสุมใจเรานะลูก จะมีความลำบาก"
ขณะนี้พ่อมองเห็นลูกรักของพ่อทุกคน บางคนก็ลืมตา บางคนก็หลับตา และก็อยู่ในจิตสงบ วิชาที่พ่อให้ลูกไว้นี้ เป็นวิชาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ ที่พ่อกล้าท้าว่าใครจะหาว่า พ่ออวดอุตริมนุสธรรม หมายถึง อวดธรรม อันยิ่งที่ไม่มีในตน แต่ที่มีในตน ท่านปรับอาบัติปาจิตตีย์ จะมีความหมายอย่างไร แต่นี่พ่อไม่ได้ไปอวดกับใครเขานะ พ่อพูดกับลูกของพ่อที่ได้มโนมยิทธิ แล้วทุกคน และพ่อไม่ได้พูดเพื่อให้ลูกทั้งหลายมีความกำเริบเสิบสาน แม้ลูกจะได้วิชานี้มาไม่ถึง ๑๐ วัน เพิ่งได้กันใหม่ ๆ เป็นของใหม่เอี่ยมของลูก พ่อต้องการให้ลูกของพ่อทั้งหมด "ฝึกความชำนาญในการใช้มโนมยิทธิ และญาณ ๘" เพราะว่า วิชานี้จะไปนั่งใช้กันเวลาค่ำ เวลาเช้ามืด เวลาสงัดนั้นไม่ได้ "ต้องใช้ให้ได้ทุกขณะจิต ทุกอิริยาบท ทุกอาการ และทุกสิ่งแวดล้อม ที่เข้ามาล้อมเราอยู่"
ให้ดูตัวอย่าง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ตรัสกับพราหมณ์ ซึ่งพราหมณ์มาถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า
"พระอริยะนี่ต้องการสถานที่สงัด คือ ป่าช้า และป่าชัฏใช่ไหม เพราะที่นั่นเป็นที่สงัด"
แต่องค์สมเด็จพระทรงสวัสดิโสภาคย์ ได้ทรงมีพระพุทธฎีกาตรัสว่า
"พราหมณะ ดูก่อน พราหมณ์ สำหรับพระอริยเจ้านี่อยู่ที่ไหนก็สงัด เพราะว่าอารมณ์จิตของท่านสงัดแล้ว อยู่ในป่าท่านก็สงัด อยู่ในป่าช้าก็สงัด อยู่ในบ้านร้างก็สงัด อยู่ในบ้านซึ่งมีคนก็สงัด อยู่ในเมืองก็สงัด เพราะจิตสงัดจากกิเลส"
ฉะนั้น เวลานี้มีเสียงดนตรีประโคมขณะพ่อพูด เสียงดนตรีดังสนั่นหวั่นไหวตามทำนองเพลงมอญ คือเพลงประโคมศพ เท่งทึ้ง ๆ เขาเชื่อมเสียงเข้ามาตามไมโครโฟน สำหรับไมโครโฟนที่พ่อพูดนี่ไม่ได้รับเสียงดนตรี เพื่อจะได้ไม่กลบเสียงพ่อในด้านนี้ก็ดีเหมือนกัน แต่พ่อใช้ เจโตปริยญาณ เวลาพูด สำหรับเจโตปริยญาณของพ่อนี้ใช้ได้ทุกเวลานะลูกเวลาพ่อพูด พ่อใช้เจโตปริยญาณ ดูใจของลูก แต่พ่อรู้ว่า ลูกรู้ว่าพ่อดูลูก และใจของลูกสงบสงัดมีอารมณ์ใสเป็นแก้วเห็นเป็นแก้วแพรวพราว แต่กำลังความเป็นแก้วอาจจุไม่เสมอกันบ้างเป็นธรรมดา แต่หลายคนที่เหน็ดเหนื่อยในการจัดบริการต่าง ๆ แต่ว่าเวลาฟังเสียงพ่อพูดอยู่นี่กำลังใจลูกสะอาดมากลูกรักรักษากำลังใจนี้ไว้นะลูก
แต่ว่าพ่อมองดูคนอื่นที่เขาไม่รู้เรื่อง เขามานั่งฟังเราพูดด้วย บางทีเขาจะหาว่าเราบ้านะ บางคนคิดว่า พ่อเล่านิทานปรัมปราให้ลูกฟัง ก็ช่างเขาเถอะลูก เรื่องความคิดความอ่านนะ ลูกรักอย่าไปต้านทานเขา เขามีความรู้สึกอย่างไรก็เป็นเรื่องของเขา ไม่ใช่เรื่องของเรา
แต่ว่าเรื่องของเรา เราต้องรู้ว่าอะไรมันเป็นอะไร อะไรมันดีอะไรมันชั่ว มันอยู่ที่ตัวของเรา อย่าไปสนใจเขา เรื่องใจของเราเท่านั้นเป็นสำคัญ
พระพุทธเจ้าตรัสว่า "อัตตนา โจทยัตตานัง จงกล่าวโทษความผิด จิตของเราไว้เสมอ"
"ดูใจของลูกให้มันเป็นแก้วใส ตลอดเวลา"
"เวลารับคำชม ใจเราก็เป็นแก้ว ตั้งอยู่ในอุเบกขา"
"เวลารับเสียด่า ใจเราก็เป็นแก้ว ตั้งอยู่ในอุเบกขา"
"ใจยิ้ม พร้อมจะยิ้มรับคำด่าของเขาได้ ชื่อว่าใจเป็นสุข" เวลานี้ใจของลูกพ่อทราบว่า ไม่มีใครหวังในการเกิด “เบื่อหน่ายแล้วหรือลูก” เบื่อหน่ายในความเกิดแล้วใช่ไหม
จิตใจรักพระนิพพานเป็นอารมณ์แล้วใช่ไหม
ลูกทุกคนเงียบสงัด เพราะกำลังอยู่ในสมาธิ พ่อพอใจ แต่พ่อก็ทราบว่าจิตใจของลูกเวลานี้ จับพระนิพพานเป็นอารมณ์ มีความเบื่อหน่ายในสภาวะการเกิดการตาย
ดูกษัตริย์ต่าง ๆ ที่พ่อเล่ามาทั้งหลายเหล่านี้ ท่านตายแล้วท่านไปไหนตามท่านไปดูนะลูกนะ
ต่อไปนี้ พ่อขอพูดถึงพระราชาองค์ที่ ๒๒ ทรงพระนามว่า “พระองค์สมตน” ซึ่งเป็นพระราชโอรสของ พระองค์ศรีตน อายุ ๕๒ ปี เสวยราชสมบัติได้ ๑๗ ปี อายุ ๖๙ ปี ก็สวรรคต เห็นไหมลูกเป็นพระราชาก็ตาย
ต่อมารัชกาลที่ ๒๓ พระราชาทรงพระนามว่า “พระองค์สวนตน” ราชโอรสขององค์ก่อน อายุ ๔๘ ปี เสวยราชย์ได้ ๑๘ ปี อายุ ๖๕ ปี ก็สวรรคต
ต่อมารัชกาลที่ ๒๔ พระราชโอรสเสวยราชสมบัติทรงพระนามว่า “พระองค์แพงตน” อายุ ๔๘ ปี เสวยราชย์ได้ ๒๐ ปี อายุ ๖๘ ปี ก็สวรรคต
รัชกาลที่ ๒๕ พระราชโอรสองค์ก่อน สืบสันตติวงศ์ต่อมา ทรงพระนามว่า “พระเจ้ากวนตน” เสวยราชสมบัติได้ ๑๔ ปี อายุ ๖๗ ปี ก็สวรรคต
รัชกาลที่ ๒๖ พระราชโอรสองค์ก่อน เสวยราชย์ต่อมา ทรงพระนามว่า “พระองค์พูตน” อายุ ๓๖ ปี เสวยราชสมบัติได้ ๑๒ ปี อายุ ๔๘ ปี ก็สวรรคต
รัชกาลที่ ๒๗ พระราชาทรงพระนามว่า “พระองค์ฟั่นตน” ซึ่งเป็นราชโอรสขององค์ก่อน อายุ ๓๐ ปี เสวยราชสมบัติได้ ๕๐ ปี ก็สวรรคต เมื่ออายุได้ ๘๐ ปี
รัชกาลที่ ๒๘ ทรงพระนามว่า “พระองค์มังสิงห์ตน” ราชโอรสองค์ก่อน อายุ ๓๕ ปี เสวยราชสมบัติได้ ๕๐ ปี ก็สวรรคต เมื่ออายุได้ ๘๕ ปี
ในเวลานั้นพระอรหันต์มาก พระราชาทุกพระองค์เป็นผู้ทรงธรรม ไหว้พระสวดมนต์กันอยู่ตลอดเวลา
รัชกาลที่ ๒๙ พระราชาทรงพระนามว่า “พระองค์มังสมตน” องค์นี้เป็นน้องของพระเจ้ามังสิงห์ตน ซึ่งไม่มีพระโอรส ดังนั้นน้องชายจึงเสวยราชย์ เมื่ออายุ ๗๒ ปี เสวยราชย์ได้ ๑๘ ปี ก็สวรรคต
รัชกาลที่ ๓๐ พระราชาทรงพระนามว่า “พระองค์ทิพย์ตน” อายุ ๕๑ ปี เสวยราชสมบัติต่อจากพระราชบิดาได้ ๑๗ ปี ก็สวรรคต เมื่ออายุ ๖๘ ปี
รัชกาลที่ ๓๑ พระราชาทรงพระนามว่า “พระองค์กะมะตน” ราชโอรสขององค์ก่อนเสวยราชสมบัติ เมื่ออายุ ๔๓ ปี เสวยราชย์ได้ ๕ ปี ก็สวรรคต เมื่ออายุ ๔๘ ปี
รัชกาลที่ ๓๒ พระราชาทรงพระนามว่า “พระองค์ชายตน” ราชโอรสองค์ก่อนอายุ ๓๐ ปี เสวยราชย์ได้ ๒๐ ปี ก็สวรรคต เมื่ออายุ ๕๐ ปี
รัชกาลที่ ๓๓ พระราชาทรงพระนามว่า “พระองค์ชินตน” ราชโอรสมีอายุได้ ๓๒ ปี ขึ้นเสวยราชย์ได้ ๑๕ ปี ก็สวรรคต คือตายเมื่ออายุได้ ๔๗ ปี ไม่เห็นใครอยู่ ตายหมด
รัชกาลที่ ๓๔ พระราชาทรงพระนามว่า “พระองค์ชมตน” เสวยราชย์เมื่ออายุ ๒๙ ปี เสวยราชย์ได้ ๒๐ ปี ก็สวรรคต
รัชกาลที่ ๓๕ “พระองค์พังตน” อายุ ๒๘ ปี ขึ้นเสวยราชสมบัติได้ ๑๖ ปี อายุ ๔๔ ปี ก็สวรรคต นี่จะเห็นว่า การเป็นพระราชาก็ตายไม่เกิดประโยชน์
รัชกาลที่ ๓๖ “พระองค์พิงตน” อายุ ๒๖ ปี เสวยราชย์ได้ ๑๕ ปี อายุ ๔๑ ปี ก็สวรรคต
รัชกาลที่ ๓๗ พระราชาทรงพระนามว่า “พระเจ้าพังตน” ราชโอรสองค์ก่อน ที่เราเรียกว่า “พระเจ้าพังคราช” ที่มีความสัมพันธ์กับเมืองเชียงแสน พระธาตุจอมกิตติ ทรงมีอายุได้ ๑๘ ปี ขึ้นเสวยราชสมบัติ พออายุได้ ๒๐ ปี เจ้าขอมดำก็มาอาละวาด
ตอนนี้สิลูกรักของพ่อ เราฟังมาถึงตอนนี้ เราพอจะสรุปใจความได้ว่า
คนเราที่เกิดมาทุกคน จะมีฐานะเป็นยังไงก็ตามที เรื่องจะพ้นกฎของกรรมนั่นก็คือ เกิด แก่ เจ็บ ตาย นั่นไม่ได้ เพราะว่าพระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า
ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกมันเป็นอนิจจัง หาความเที่ยงไม่ได้ ถ้ามันไม่เที่ยง เราก็จะเข้าไปยุ่งกับความไม่เที่ยง ให้มันเที่ยงมันก็เป็นทุกข์ อารมณ์ของคนที่เป็นทุกข์มันก็เพราะไม่ยอมรับนับถือกฎของความเป็นจริง
คำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น สอนตามความจริง คือ ให้คนทุกคนไม่ฝืนความจริงเท่านั้น ถ้าคนใดไม่ฝืนความจริง คนนั้นไม่มีทุกข์
ดูตัวอย่างพระราชา ผ่านมาแล้วตั้ง ๓๗ รัชกาล สมัยพระเจ้าพังคราช นี่ท่านยืนยันเลยว่าเป็น พ.ศ.๙๐๐ ปี พอดีเป็นอันว่าราชวงศ์นี้ สืบราชสมบัติต่อมาเกินกว่า ๙๐๐ ปี ไม่มีการขบถ ไม่มีทรยศ ไม่มีการแย่งชิงความเป็นใหญ่ซึ่งกันและกัน
ตอนนี้ พ่อขอพูดเรื่องประเพณีนิยมของคนไทยหรือระเบียบวินัย คนไทยที่เป็นไทยจริง ๆ นั้น เป็นผู้รักธรรม ประกอบไปด้วยพรหมวิหารสี่ แต่ทว่าอาศัยความดีของคนไทย นี่ลูกรัก เราจึงต้องขยับขยายพื้นที่กันอยู่ตลอดเวลา ผ่านมา ๓๗ รัชกาล ข่าวการรุกรานประเทศ ข่าวการรบไม่มี เราจึงขยายเขตออกไปให้มันกว้าง ให้พอกับคนจำนวนมาก เพราะยิ่งนานปี คนก็เกิดมาขึ้นทุกที เวลานั้นพื้นที่ขยายไม่ยาก มันเป็นป่า คนอยู่กันเป็นหย่อม ๆ สมัยพระเจ้าพังคราชนี่ เรามีประชาชน ตั้งแต่แบผ้าอ้อมถึงคนแก่เหลาเหย่ทำอะไรไม่ไหวแล้ว ประมาณ ๑ แสนคนเท่านั้น แต่กำลังคนที่จะรวมเป็นกองทัพจับอาวุธสู้ได้คือ ตั้งแต่อายุ ๑๖ ปี ถึง ๖๐ ปี ได้ประมาณ ๓ หมื่นคนเท่านั้น เป็นการระดมพลใหม่
จงจำไว้ให้ดีลูกรักของพ่อทุกคนเป็นคนไทย เราเป็นคนไทย จงอย่าทำใจเป็นทาสทำใจของเราให้ทรงไว้ซึ่งความเป็นอิสรภาพ คือ ความเป็นไท สิ่งที่จะสร้างความสุขให้แก่ลูก อย่าลืมว่า ชีวิตของพ่อไม่นานนัก พ่อก็ตาย เวลานี้พ่อมีอายุใกล้ ๗๐ ปีเข้าไปแล้ว ดูพระราชาทั้งหลายเหล่านั้นท่านก็ตาย ความตายของพ่อก็มีจริง พ่อรู้ตัวว่าพ่อจะตาย ฉะนั้นทุกสิ่งทุกอย่าง วิชาความรู้ที่พ่อให้ลูก ลูกของพ่อทุกคน พ่อมีความรัก อย่าลืมนะว่าพ่อรักลูกทุกคน แต่ลูกจงระวังนะ คนอีกพวกที่เขาไม่ใช่ไท เขามีใจเป็นทาส เขาอาจจะมีพ่อเป็นไทย มีแม่เป็นไทย แต่ว่าใจเขาเป็นทาส ที่เขาคอยเข้ามาทำลายความสามัคคีของมันมีอยู่ เขาจะใช้วิธีง่าย ๆ คือ บอกลูกคนนั้น บอกลูกคนนี้ ให้ดูทีรึ เห็นไหมว่า พ่อรักเราไม่เสมอกัน เราเป็นคนจน เราเป็นคนมีความรู้ไม่ดี พ่อไม่ได้สนใจเราเลย ตอนนี้เขาจะแหย่นิด แหย่หน่อย แหย่ให้ลูกแตกความสามัคคี
ลูกจงระวังให้ดีนะ พ่อน่ะเป็นคนคนเดียวนะลูกนะ บางทีลูกของพ่อ พ่อนึกชื่อไม่ออกก็มีใช้อยู่ทุกวัน เพราะอะไรเพราะพ่อเหน็ดเหนื่อย ความเหนื่อยของพ่อนี่ลูก พ่อเหนื่อยจริง ๆ “แต่เพื่อลูกแล้วพ่อก็พร้อม แม้พ่อจะเหนื่อยแทบขาดใจตายเสียเวลานี้พ่อก็ทำ”
อีกประการหนึ่ง สังคหวัตถุ ลูกรัก ที่จะยึดเหนี่ยวน้ำใจซึ่งกันและกันไว้ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิชาความรู้ คือ มโนมยิทธิ ที่พ่อให้ไว้ ต้องรักษาไว้ด้วยชีวิตจิตใจของลูก จับไว้เฉพาะพระนิพพานเป็นอารมณ์
การจะทบทวนชีวิตเป็นของดี ว่าเราเกิดมาแล้วกี่ชาติ มันเสียหายตรงไหนบ้าง มันทรงอะไรไว้ได้บ้าง ทรัพย์สินที่หาไว้ได้เวลานั้น มันมีอะไรบ้าง จงระมัดระวัง
ขอลูกจงจำ การที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงให้เราตั้งศูนย์สงเคราะห์คนยากจนในถิ่นทุรกันดาร แล้วทรงประทานพระราชทรัพย์ร่วมมาด้วย และของที่โดยเสด็จพระราชกุศลก็มา "ควรทำต่อไป"
"ถ้าพ่อตายแล้ว พวกลูกยังทำกิจนี้อยู่ ก็ชื่อว่าลูกยังเกาะชายจีวรของพ่ออยู่"ในช่วงเวลาที่พ่อเปลี่ยนหน้าเทป มองไปทางด้านโน้นเขาเตรียมเพลงอะไรบ้างก็ไม่รู้ เห็นจะเป็นเพลงมอญ เล่นกัน เท่งทึ้ง ๆ เพื่อคลอเสียงพ่อพูด แต่เขาอยู่ไกลออกไป
ลูกเห็นไหมลูก นี่แหละเรื่องของโลกจะต้องเป็นอย่างนี้ ไม่ใช่ว่าจะเอาแต่ใจตัวเองเป็นสำคัญ
.....................................................
โลกไม่ช้ำธรรมไม่เสีย
“การทำงานทุกอย่างต้องเป็นประเภท โลกไม่ช้ำธรรมไม่เสีย” จะถือว่า ฉันต้องการสงบ ฉันมีกำลังใจสงบสงัดดีแล้ว ใครจะมายุ่งไม่ได้ต้องตามใจฉัน ถ้าทำแบบนี้ก็ชื่อว่า ฝืนคติขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นั่นคือ เขายังเดินแนวทางไม่ถูก เนื้อแท้จริง ๆ แล้ว พระพุทธเจ้าเทศน์ไว้ ๓ แบบ คือ
๑.พระธรรมวินัย
๒.พระสุตตันตปิฎก
๓.พระอภิธรรม
ถ้าจะเล่นเถนเด่ (พ่อไม่เรียกเถนตรง เรียกว่าเถนเด่) ว่า ฉันต้องการสงบสงัดอย่างเดียว นั่นต้องดูตัวอย่างพระพุทธเจ้าท่านทำอะไรไว้บ้าง ควรจะดูตอนท่านทรมานชฏิล ท่านทำยังไง ท่านนั่งเทศน์หลับตาปี๋อย่างเดียวยังงั้นรึ หรือว่าเวลาที่พระองค์ทรมานบุคคลทั้งหลาย เช่น พระเจ้าชมพูบดี ท่านทำยังไง ซึ่งตอนนั้นเป็นการแสดงละครโรงใหญ่กันจริง เป็นละครฉากใหญ่
มาเลี้ยวถึงชีวิตของลูกชั่วเวลา ๒-๓ นาที ที่พ่อใช้เวลาหาคาสเซทมาเปลี่ยนหน้าเทป “ลูกบางคนน้ำตาไหล บางคนมีอาการสะอื้น บางคนมีอาการซึม” พ่อคิดว่า ความรู้สึกของลูกในเวลานั้น คงจะพบกับสภาพความเป็นจริงที่เรามีส่วนร่วมในการบูชาพระบรมสารีริกธาตุบนดอยตุง ซึ่งพระเจ้าอชุตราช และพระเจ้ามังรายมหาราช นำมาบรรจุไว้ในเจดีย์ที่ลูกเห็นเวลานี้ เป็นเจดีย์ที่เขาสร้างขึ้นภายหลัง
สำหรับเจดีย์องค์เดิมอยู่ภายในเป็นทองคำทั้ง ๒ องค์ และในเจดีย์ทองนั่นบรรจุพระบรมสารีริกธาตุที่กษัตราธิราชเจ้าทั้ง ๒ พระองค์ คือ พระเจ้าอชุตราช พระราชบิดากับพระเจ้ามังรายมหาราช ราชโอรส นำมาบรรจุที่นี่ พระบรมสารีริกธาตุดังกล่าวท่านได้มาโดยพระมหากัสสปเถรเจ้าพร้อมด้วยพระอรหันต์อีก ๕๐๐ องค์ นำมาถวายพระเจ้าอชุตราช และภายหลังมีพระอรหันต์นามว่าวชิระองค์พระอรหันต์นำมาถวายพระเจ้ามังรายมหาราช การบูชาคราวนั้นเป็นงานยิ่งใหญ่มาก
ขณะนี้ ลูกบางคนมีอำนาจธรรมปีติ ที่เห็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และพระอรหันต์ทั้งหลาย ท่านไปอยู่นิพพานมีความสุข
ฉะนั้น อารมณ์ของลูกทั้งหมด จงอย่าให้มีอารมณ์เป็นทุกข์ มีอย่างเดียว คือ “ธรรมสังเวช”
ธรรมสังเวชตอนไหน ตอนที่เราเลวเกินไป จะว่าเลวเกินไปก็ไม่ถูก เพราะการบรรลุธรรมต้องอาศัยความดีพอสมควร เขามีกำหนดเวลา สำหรับสาวกภูมิต้องบำเพ็ญบารมีมาแล้ว ๑ อสงไขยกับแสนกัป อัครสาวก และพระปัจเจกพุทธเจ้าต้องบำเพ็ญบารมี ๒ อสงไขยกับแสนกัป สมเด็จพระสัมาสัมพุทธเจ้าทรงขั้นปัญญาธิกะ อย่างสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน ซึ่งทรงพระนามว่า สมเด็จพระสมณโคดม ต้องบำเพ็ญบารมีถึง ๔ อสงไขยกับแสนกัป ถ้าศรัทธาธิกะ ต้องบำเพ็ญบารมีถึง ๘ อสงไขยกับแสนกัป และวิริยาธิกะต้องบำเพ็ญบารมีถึง ๑๖ อสงไขยกับแสนกัป
แต่พวกเราย่องมาถึง ๑๖ อสงไขยกับแสนกัปแล้ว ก็แสดงว่า เราเอาดีบ้าง ทำถูกทำผิดบ้าง เป็นของธรรมดา ฉะนั้นการผิดมาในกาลก่อนถือว่าเป็นครู ในสมัยนี้ชาตินี้อย่าให้ผิดต่อไป ลูกทุกคนที่นั่งอยู่นี่ ๒๐๐ คนเศษ เป็นผู้ทรงอภิญญาเล็ก คือ มโนมยิทธิ และมีวิชชา ๘ เข้าควบคุมใจ จงใช้วิชชา ๘ ของลูกนี้ควบคุมใจว่า “ทางใดที่องค์สมเด็จพระจอมไตรทรงไปแล้ว พระอรหันต์ทั้งหมดท่านไปแล้ว ขอลูกจงเดินตามทางนั้นนะลูกเวลานี้” ถ้าพ่อพูดไม่ผิด จิตของพ่อไม่เสีย ลูกจะเห็นว่า ท่านปู่อชุตราชท่านทรงชุดสีทองเป็นพรหม ลูกบางคนเห็นท่านในสมัยที่เป็นมนุษย์ ท่านแสดงให้เห็นคนละอย่างให้ลูก เทวดา พรหม องค์เดียวกัน ท่านแสดงเป็นคนละภาพได้ อย่าเถียงกันนะลูกนะ อำนาจความเป็นทิพย์ ถ้าลูกใช้กำลังใจของลูกให้เป็นทิพย์อยู่เสมอ ลูกจะรู้อานุภาพแห่งความเป็นทิพย์
นี่การปฏิบัติพระกรรมฐานเป็นคุณอย่างยิ่ง เรามากันวันที่ ๑๑ ธันวาคม ๒๕๒๑ ซึ่งความจริงมโนมยิทธิที่ลูกเพิ่งได้ กระตุ๋มกระติ๋มมาก เพิ่งจะมาซู่ซ่ากันเมื่อวันที่ ๑๓ อาศัยรุ่นแรกก็ทำลำบากหน่อย เพราะไม่มีตัวอย่าง แต่เราก็ได้กันมากแล้วนี่ พ่อไม่ได้ขยายคนเดียว พ่อให้คนที่เขาทำได้แล้วไปขยายกันต่อไป แต่พ่อก็ทราบว่า คนที่รับไปสอนนั้นก็ดีบ้าง ชั่วบ้าง ก็ช่างปะไร บางคนก็ปฏิบัติตรง บางคนก็หวังลาภสักการ
"ใครอยากจะได้ลาภก็ไปอยู่กับเทวทัต"
"ใครหวังความดีก็ไปอยู่กับพระพุทธเจ้า" ก็หมดเรื่องกันไป
จะไปนั่งห่วงว่า คนที่ได้ไปแล้วดีไม่ดีพลาดท่าจะลงนรก คนลงจะไปนรกซะอย่างเดียว ยังไง ๆ เขาก็ลงนรกจนได้ แต่ให้เขาลงอย่างคนมีความดีอยู่บ้าง ดูตัวอย่างพระเทวทัตหรือว่าพระเจ้าอชาติศัตรูนั่นลงนรกก็ลงไม่เต็มที่ขึ้นมาก็ได้ดีเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้าดีกว่าลงแบบดื่มลงไป อีกประการหนึ่งที่มีความรู้จากการฝึกอยู่บ้างการจะทำความชั่วก็มีการยับยั้งบ้างตามสมควรนี่เป็นปัจจัยที่ทำให้ถูกลงโทษไม่เต็มอัตราศึก หมายความว่าไม่เต็มกำหนดของอเวจี คือ ๑ กัป อยู่ไม่ถึงก็ขึ้นได้แล้ว
เป็นอันว่า ตอนนี้ลูกก็สลดใจ ตั้งใจไว้ให้ดีนะลูกว่า"เราจะไม่ต้องการความเกิดต่อไป" ดูต้นไม้ที่มีความแข็งแรงมันหายไปมากไหมลูก ดูภูเขาที่เขียวชะอุ่มไปด้วยต้นไม้ ถูกชาวเขาทำเสียจนเป็นภูเขาหัวโล้น นี่มาเทียบกับชีวิตของเรามันก็เหมือนกัน
“ชีวิตของเราต้องร่วงโรยเหมือนกับใบไม้ที่หล่น ร่วงโรยมาอย่างต้นไม้ที่ถูกโค่นกี่วาระแล้ว” ลูกจงใช้อำนาจปุพเพนิวาสานุสติญาณรวบรัดตัดความทันที อย่าไปนับชาติ ๑-๒-๓ นะลูก ดูว่าอัตภาพของเราเกิดมาเป็นคนก็ดี เป็นสัตว์ก็ดี มีปริมาณเท่าไร ขอดูทันทีทันใดจะเห็นพร้อมกันทั้งหมด จงอย่านับด้วยกำลังของการนับ ๑-๒-๓ ต้องนับด้วยกำลังของจิตเป็นทิพย์จะทราบทันที และนอกจากเกิดเป็นคนเกิดเป็นสัตว์ที่มีชีวิตไม่เสมอกันในการเกิดเป็นคน บางคราวเกิดเป็นกษัตริย์ บางคราวเกิดเป็นยาจกเข็ญใจ บางคราวเป็นคหบดี บางคราวเป็นเศรษฐี บางคราวมีความสุขมาก บางคราวเราถูกเบียดเบียนมากนั่นเป็นเพราะกรรมอะไร ลูกจะใช้ยถากรรมมุตตาญาณเป็นเครื่องชี้ชัด จะบอกความดีความชั่วของเราที่รับผลดีผลชั่วไว้
“รวมความแล้วเราดีไม่พอ ที่เรายังต้องเกิด จงแสวงหาความไม่เกิดต่อ”การวัดระดับของการเกิดจากนรก เปรต อสุรกาย สัตว์เดียรัจฉาน คน เทวดา พรหม และไปให้ถึงนิพพานเป็นของดี แต่ไม่ใช่ว่า รู้จุดนี้แล้วจะอยู่เฉพาะจุดนั้นต้องศึกษาหาทางลงโทษตัวเองว่า “เราลงนรกขุมไหมบ้าง เพราะกรรมอะไรเป็นเหตุ” นี่จะต้องรู้ ไม่ใช่จะไปรู้แต่ดี ถ้ารู้แต่ดีไม่ช้าเราก็ต้องพลาดมาหาชั่ว ต้องไปรู้ชั่วของเราไว้ด้วยเป็นครู ไปนรกขุมไหนถามเขาด้วยว่า เราเคยมากี่ครั้ง แต่ละครั้งเราทำอะไรจึงมาลงนรกขุมนี้ จะได้ชี้จุดชั่วของตัวเราแล้วหลีกเลี่ยงกรรมชั่วนั้นเสีย
การเกิดเป็นมนุษย์แต่ละคราว เราเกิดเป็นคนยากจนเพราะอะไรจึงจน ถ้าเกิดเป็นคนรวยเพราะทำอะไรจึงรวย ความสุข ความทุกข์ อะไรเป็นเหตุให้สุขให้ทุกข์ นี่ใช้ยถากรรมมุตาญาณ ทำไมเราจึงเป็นภุมเทวดา เพราะอะไรจึงเป็นรุกขเทวดา และเป็นอากาศเทวดา เราทำยังไงจึงไปเป็นพรหม แล้วทำไมจึงลงมาเกิดเป็นมนุษย์อีก ทวนไปทวนมาอย่างนี้
“ชาตินี้ควรเป็นชาติสุดท้ายของลูก ถ้าไม่ทำอย่างนี้นะลูกรัก มองแต่ด้านเดียวด้านความดีเท่านั้น มันจะเผลอ ดีไม่ดีไปเสียจุดใดจุดหนึ่ง เราก็จะกลับมาเกิดเป็นคนอย่างนี้อีก พ่อขอแนะว่า สักกายทิฐิตัวเดียว ลูกรัก คือ อย่าสนใจในรูป รูปเราก็ดี รูปเขาก็ดี รูปวัตถุธาตุก็ดี ตัดกันเสียที เรื่องการเกิดเป็นมนุษย์ เป็นเทวดา หรือพรหม เลิกกัน เราไม่ต้องการมันต่อไป เพราะว่ามันเป็นของไม่ดี เราไปนิพพานกันดีกว่านอนให้เป็นสุข”
...................................................
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น